วานนี้ (10 ตุลาคม) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ภาพรวมโควิดในขณะนี้แนวโน้มทรงตัว บางพื้นที่พบการระบาดเป็นกลุ่มก้อนจากการรวมกลุ่มทำกิจกรรม อาทิ งานสังสรรค์ งานศพ รวมถึงยังพบการติดเชื้อในโรงงาน สถานประกอบการ แคมป์ก่อสร้าง สถานที่ดูแลกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มแรงงานต่างด้าว ขณะที่บางพื้นที่สถานการณ์เริ่มดีขึ้น พบผู้ติดเชื้อประปรายและสามารถควบคุมได้ รัฐบาลจึงมีแนวทางที่จะเปิดกิจการ กิจกรรม และเปิดพื้นที่รับนักท่องเที่ยวเพื่อสร้างรายได้ในชุมชนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศมากขึ้น
นพ.เกียรติภูมิกล่าวต่อไปว่า การดำเนินกิจการ กิจกรรมต่างๆ และการเปิดเมืองให้ปลอดภัยและยั่งยืน ทุกคน ทุกฝ่าย ต้องตระหนักและเคร่งครัดใน 4 มาตรการสำคัญคือ
- การฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมายและครอบคลุม ซึ่งขณะนี้ได้จัดหาวัคซีนไว้เพียงพอที่จะให้กับประชาชนตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป
- การป้องกันตนเองขั้นสูงสุด (Universal Prevention) โดยคิดไว้เสมอว่าทุกคนอาจเป็นผู้ติดเชื้อแฝง และป้องกันตนเองอย่างเข้มงวดกับทุกคน
- การใช้ชุดตรวจ ATK คัดกรอง เพื่อให้ผลเร็ว เข้าสู่ระบบรักษารวดเร็ว ลดการแพร่เชื้อ
- การดำเนินการตามแนวทาง COVID Free Setting ซึ่งองค์กร สถานประกอบการต่างๆ ต้องปฏิบัติอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ซึ่งหากดำเนินการได้ครบถ้วนทั้ง 4 มาตรการ มั่นใจว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์โควิดได้ และประชาชนจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติแบบวิถีใหม่
นพ.เกียรติภูมิกล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้จากการนำร่องเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวใน 4 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า) พังงา (เขาหลัก เกาะยาว) กระบี่ (เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เลย์ คลองม่วง ทับแขก) ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขที่กำหนด ถือว่าประสบผลสำเร็จอย่างดี สามารถเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่นๆ ที่อยู่ในแผนจะเปิดเพิ่ม โดยต้องจัดตั้งศูนย์บัญชาการเพื่อติดตามเฝ้าระวังและควบคุมโรค เข้มงวดการปฏิบัติตามมาตรการ COVID Free Setting และมาตรการ Bubble and Seal ผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศ ต้องฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มตามเกณฑ์ และมีผลการตรวจ RT-PCR ไม่พบเชื้อภายใน 72 ชั่วโมง จะลดวันกักตัวเหลือ 7 วัน แต่หากไม่ได้ฉีดวัคซีนจะลดวันกักตัวจาก 14 วันเหลือ 10 วัน ระหว่างอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยว จะต้องตรวจ RT-PCR หรือ ATK ตามกำหนด ส่วนประชาชนในพื้นที่ต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อย 80%