ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ตลาดขนมไหว้พระจันทร์ปี 2564 จะมีมูลค่าอยู่ที่ 755 ล้านบาท หดตัวลง 5.7% ตามการแพร่ระบาดของโควิดที่ยังไม่คลี่คลาย และมีระดับความรุนแรงมากกว่าปีก่อน ทำให้กำลังซื้อผู้บริโภคในประเทศยังคงเปราะบาง ประกอบกับข้อจำกัดของการบริโภคที่แม้ว่าจะเป็นสินค้าเฉพาะเทศกาล แต่ก็มีระดับราคาที่ค่อนข้างสูง ส่งผลให้บรรยากาศจับจ่ายขนมไหว้พระจันทร์ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ในปีนี้คาดว่าจะยังไม่ฟื้นตัว
ศูนย์วิจัยฯ ระบุว่า ความท้าทายสำคัญของผู้ขายขนมไหว้พระจันทร์ในปีนี้ ยังคงมาจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่ยังคงอ่อนแรง แม้ว่าผู้ประกอบการได้ปรับตัวโดยการวางกลยุทธ์การตลาดสินค้าที่ไม่ยึดติดกับเทศกาล โดยมีการวางแผนออกมาจำหน่ายล่วงหน้า (2-3 เดือน) และภายหลังเทศกาลครอบคลุมเกือบทั้งปี เพื่อประคับประคองอัตราการบริโภคทั้งปีเอาไว้ แต่การเผชิญกับการระบาดของโควิดติดต่อกันเป็นปีที่สอง ซึ่งยังไม่คลี่คลายและมีระดับความรุนแรงมากกว่าปีก่อน ส่งผลให้ผู้ประกอบการปรับลดกำลังการผลิตให้เหมาะสมกับสภาพตลาด และสอดรับไปกับพฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มจะลดลง ทั้งในกลุ่มตลาดแมสและตลาดพรีเมียม
โดยกลุ่มตลาดแมส (ดั้งเดิม) ที่มีสัดส่วนมูลค่าราว 60% ซึ่งเป็นกลุ่มที่ซื้อไปไหว้-รับประทาน รวมถึงซื้อเป็นของฝากในระดับราคาปานกลาง ปกติแล้วจำนวนการซื้อต่อครั้งไม่ได้สูงมาก คาดว่าในปีนี้จะปรับลดปริมาณการซื้อโดยซื้อเท่าที่จำเป็น เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ซบเซามากกว่ากลุ่มตลาดพรีเมียม ที่จับกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง และพิจารณาปัจจัยด้านราคาเป็นรอง เพราะกลุ่มนี้นิยมซื้อไว้รับประทานเอง เป็นของฝากผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ หรือองค์กรธุรกิจที่ต้องการสร้างความประทับใจกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งจำเป็นต้องทำต่อเนื่องทุกปีเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดี
อย่างไรก็ดี ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ส่งผลให้การพิจารณาจับจ่ายสินค้าในกลุ่มนี้คงจะจำกัดเหลือเฉพาะบุคคลสำคัญบางกลุ่ม อีกทั้งกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เริ่มมีบทบาทกับตลาดอย่างกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มลดจำนวนลงไปมาก ดังนั้น จึงส่งผลให้การเติบโตของขนมไหว้พระจันทร์ในปีนี้ ในแง่ของปริมาณการขาย (จำนวนคนซื้อและจำนวนชิ้น) น่าจะยังคงหดตัวต่อเนื่องจากปีก่อน
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบ อาทิ ธัญพืช แป้ง ผลไม้ น้ำมันพืช ซึ่งมีแนวโน้มขยับขึ้น ตลอดจนการเลือกใช้วัตถุดิบพรีเมียมที่มีราคาสูงขึ้น (ส่วนใหญ่มักนำเข้าจากต่างประเทศ) ประกอบกับการพัฒนาดีไซน์ของบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างจุดขาย ปัจจัยดังกล่าวกระทบต่อต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ และมีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ราคาของขนมไหว้พระจันทร์ในปีนี้มีแนวโน้มขยับขึ้น
โดยเฉพาะขนมไหว้พระจันทร์ระดับพรีเมียม ซึ่งถูกผลิตโดยกลุ่มโรงแรม ภัตตาคาร คาเฟ่/เบเกอรีโฮมเมด ที่ชูจุดขายเรื่องคุณค่าของสินค้าและความประทับใจที่ได้รับผ่านรสชาติ-ไส้ วัตถุดิบพรีเมียม บรรจุภัณฑ์ พบว่า ราคาจำหน่ายขนมไหว้พระจันทร์กลุ่มพรีเมียมส่วนใหญ่มีแนวโน้มปรับขึ้นเฉลี่ย 5-30% ขึ้นอยู่กับขนาดสุทธิและรูปแบบของบรรจุภัณฑ์
ขณะที่กลุ่มขนมไหว้พระจันทร์ระดับแมส ส่วนใหญ่ราคาจำหน่ายไม่แตกต่างจากปีก่อน เนื่องจากผู้ประกอบการพยายามที่จะคงราคาไว้เพื่อรักษาฐานลูกค้า และพยายามบริหารจัดการต้นทุนส่วนเพิ่มเอาไว้เองให้ได้มากที่สุด ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของตลาดขนมไหว้พระจันทร์ในปีนี้ โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการที่เจาะตลาดแมส
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตาของปีนี้ก็คือ การเข้ามาทำตลาดของผู้ประกอบการรายใหม่ๆ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็กในกลุ่มเบเกอรี ร้านอาหาร ซึ่งมีการแตกผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมและจับกระแสในช่วงเทศกาล โดยใช้จุดขายสำคัญในการดึงดูดลูกค้า อาทิ ชื่อเสียงของร้าน ผู้ปรุง/ผู้ผลิต ในระดับที่ไม่ได้แตกต่างจากผู้ประกอบการรายเดิมในตลาดมากนัก อีกทั้งยังทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น สื่อโซเชียลมีเดีย ซึ่งทำให้เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ดี โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังสนใจซื้อ หรือต้องการทดลองสินค้าใหม่ๆ ซึ่งทางเลือกของผู้บริโภคที่มีมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันในตลาดที่รุนแรงขึ้นตามไปด้วย
จากปัจจัยเรื่องโควิดที่กระทบกำลังซื้อผู้บริโภค โดยเฉพาะฐานลูกค้าสำคัญของขนมไหว้พระจันทร์ระดับแมส ที่มีจำนวนมากกว่าฐานลูกค้ากลุ่มขนมไหว้พระจันทร์กลุ่มพรีเมียม ประกอบกับการแข่งขันในตลาดที่ยังรุนแรงจากการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่ๆ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงประเมินว่า มูลค่าตลาดขนมไหว้พระจันทร์ปี 2564 อาจอยู่ที่ประมาณ 755 ล้านบาท หดตัว 5.7% จากปี 2563 ที่หดตัวราว 15.8%
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP