นับวันการแข่งขันในตลาดสตรีมมิงยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ แต่ MONOMAX หนึ่งในผู้ให้บริการสตรีมมิงสัญชาติไทย ยังสามารถเพิ่มยอดคนดูได้จากการซื้อลิขสิทธิ์ซีรีส์จีนเข้าเสิร์ฟกลุ่มคนดูไม่หยุด
“ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เราเน้นโปรโมตคอนเทนต์ทั้งซีรีส์และภาพยนตร์ที่ซื้อลิขสิทธิ์มาเพื่อลงฉายใน MONOMAX ที่แรก ก่อนที่จะปล่อยไปออกอากาศเนื้อหาบนช่อง MONO29 ส่วนใหญ่ที่เป็นไฮไลต์หลักคือซีรีส์จีน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ล่าหัวใจมังกร, บังเอิญพบรัก และ อันเล่อ โฉมงามพลิกชะตา ซึ่งมีนักแสดงเป็นคนที่มีชื่อเสียงและหน้าตาดี มีส่วนทำให้ประสบความสำเร็จและมียอดคนดูเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง” ปฐมพงศ์ สิรชัยรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าว
สำหรับจุดเด่นของแพลตฟอร์มคือซีรีส์มีพากย์ไทยครบทุกเรื่อง ซึ่งสามารถรองรับความต้องการของฐานคนดูของแพลตฟอร์มที่ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงาน ชอบดูภาพยนตร์ที่มีพากย์เสียงไทย ซึ่งจะแตกต่างจากกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบฟังเสียงต้นฉบับแล้วอ่านซับไตเติล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีฐานข้อมูลพฤติกรรมการดูคอนเทนต์ของผู้ใช้บริการ จึงทำให้รู้ว่าผู้ชมสนใจคอนเทนต์อะไร ดังนั้นจากนี้จึงเตรียมคอนเทนต์ทั้งภาพยนตร์และซีรีส์จีน เกาหลีใต้ และไทยเข้ามาเพิ่มในแพลตฟอร์มมากขึ้น ซึ่งจะมีทั้งการซื้อลิขสิทธิ์มาและเริ่มผลิตเอง ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้งบลงทุนประมาณ 1,000-1,200 ล้านบาท
นอกจากกลยุทธ์ด้านเนื้อหาแล้ว ที่ผ่านมา MONOMAX ได้จับมือกับพาร์ตเนอร์ในธุรกิจต่างๆ ทั้งผู้ให้บริการบรอดแบนด์ เพื่อเสริมแพ็กเกจให้ลูกค้าได้ใช้บริการเสริม ปัจจุบัน MONOMAX ได้ให้บริการบน 3BB GIGATV เหมือนเดิม จนกว่า M&A จะเสร็จสิ้น รวมถึง MONOMAX บน AIS PLAYBOX และเชื่อว่าจะทำให้สัดส่วนของจำนวนการสมัครสมาชิกเพิ่มขึ้น
ที่ผ่านมาโครงสร้างรายได้หลักของ MONO มาจากธุรกิจทีวี แม้ว่ารายได้จะลดลงแต่ยังเป็นแหล่งรายได้ที่หล่อเลี้ยงบริษัท ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจทีวีเริ่มลดลง เห็นได้จากยอดคนดูทีวีลดลง 10% ต่อปี หรือแม้แต่ยอดขายโฆษณาทางทีวีก็ลดลง 15-20% หรือเฉลี่ย 4% ต่อปี ซึ่งในอนาคตรายได้จากโมโน เน็กซ์ จะเข้ามาช่วยเสริมกับรายได้หลักได้
แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแพลตฟอร์มสตรีมมิงมีการแข่งขันกันอย่างหนัก หากสังเกตจะเห็นว่าตอนนี้ทุกๆ แพลตฟอร์มจะผลิตหนังเอ็กซ์คลูซีพออกมาผ่านช่องทางของตัวเอง ทำให้เราต้องคิดใหม่ ที่ผ่านมา MONOMAX จะขึ้นชื่อเรื่องการซื้อลิขสิทธิ์ ยังไม่มีบทบาทผลิตเองมากนัก จึงเป็นที่มาว่าทำไมถึงพยายามสร้างออริจินัลคอนเทนต์ขึ้นมา
ขณะที่ภาพรวมยอดการสมัครบริการ OTT แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ 4-5 แอปต่อครัวเรือน ส่วนการสมัครแบบเสียค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ 2-4 แอปต่อครัวเรือน ซึ่งรวมๆ แล้วประเมินว่าตั้งแต่ปี 2567-2568 จะมีการเติบโต 33% ต่อปี
“ส่วนเป้าหมายการเติบโตของแพลตฟอร์ม MONOMAX คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 30% ในปี 2567”
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 บริษัทมีรายได้รวม 1,387 ล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจทีวี 795 ล้านบาท, MONOMAX 400 ล้านบาท, 3BB TV 123 ล้านบาท และ Other Revenues