×

ศธ. แจงแผนเปิดเทอม 2/64 ฉีดวัคซีนนักเรียน 12-18 ปี ในพื้นที่สีแดงเข้ม ต้องสมัครใจ-ผู้ปกครองยินยอม

โดย THE STANDARD TEAM
13.09.2021
  • LOADING...
ตรีนุช เทียนทอง

วันที่ (13 กันยายน) ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวเตรียมความพร้อมเปิดภาคเรียนที่ 2/2564 สถานศึกษาปลอดภัย เด็กได้รับวัคซีนถ้วนหน้า

 

ตรีนุชกล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการได้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดอย่างใกล้ชิด และมีการถอดบทเรียนจากการจัดการเรียนการสอน 5 รูปแบบ หรือ 5 On ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 เพื่อนำไปสู่การกำหนดแนวทางการเปิดภาคเรียนต่อไปให้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

 

ซึ่งจากการหารือร่วมกันกับกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทย เบื้องต้นมีแนวทางในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ได้แก่ แผนการฉีดวัคซีน Pfizer 2 เข็มแก่กลุ่มผู้ที่มีอายุ 12-17 ปี 11 เดือน 29 วัน ณ วันที่ฉีด โดยจะอนุโลมให้แก่กลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่มีอายุเกิน 17 ปี 11 เดือน 29 วันด้วย ซึ่งจะครอบคลุมนักเรียนนักศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6, ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.), ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือเทียบเท่า รวมถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีอายุ 12 ปี ในเดือนตุลาคมเป็นต้นไป

 

โดยจะเริ่มฉีดให้แก่นักเรียนนักศึกษาในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) จำนวน 29 จังหวัดก่อน แต่ตั้งเป้าหมายให้นักเรียนนักศึกษาทุกคนได้รับวัคซีน Pfizer เข็มที่ 1 อย่างครบถ้วน ซึ่งที่ประชุม ศบค. ชุดใหญ่ได้อนุมัติในหลักการให้ฉีดวัคซีน Pfizer ให้แก่นักเรียนนักศึกษาทุกสังกัดกว่า 4.5 ล้านคน ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.), องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, โรงเรียนพระปริยัติธรรม, โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน และกรุงเทพมหานคร

 

ตรีนุชกล่าวต่อไปว่า แผนการดำเนินโครงการโรงเรียน Sandbox Safety Zone in School (SSS) ซึ่งเป็นมาตรการสำหรับโรงเรียนประจำ เช่น โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ และโรงเรียนเอกชนที่มีความพร้อม โดยกระทรวงศึกษาธิการจะประสานกับกระทรวงสาธารณสุขในการลงพื้นที่ตรวจโรงเรียนที่จะประสงค์เข้าโครงการว่าเป็นไปตามมาตรการที่วางไว้หรือไม่ ทั้งนี้ การเป็นโรงเรียน SSS มีเงื่อนไข 3 ข้อคือ 

 

  1. เป็นโรงเรียนประจำ 
  2. เป็นไปตามความสมัครใจ  
  3. ผ่านการประเมินความพร้อม

 

โดยต้องแจ้งความประสงค์ผ่านต้นสังกัด มีการหารือร่วมกับผู้ปกครอง และผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดจัดให้มีสถานแยกกักตัวในโรงเรียน (School Isolation) จัดให้มี Safety Zone ในโรงเรียน มีการติดตามประเมินผลโดยทีมตรวจราชการของกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงมีการรายงานผลผ่าน MOE COVID และ Thai Stop COVID+ Plus ซึ่งในขณะนี้มีสถานศึกษาจำนวน 15,465 แห่งที่อยู่ในเขตพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด โดยใน 12 จังหวัดมีสถานศึกษาจำนวน 1,687 แห่งที่อยู่ในเขตพื้นที่ 45 อำเภอปลอดเชื้อ แบ่งเป็นสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 1,305 แห่ง, สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) 111 แห่ง, สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) 21 แห่ง และสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) 250 แห่ง ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการจะพิจารณาความพร้อมของสถานศึกษาสำหรับการเปิดภาคเรียนตามบริบทที่เหมาะสม

 

“ทางกระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของนักเรียนนักศึกษาเป็นอันดับแรก โดยได้ปรึกษาและประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุขให้เข้ามาช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด และการฉีดวัคซีนให้เด็กจะเป็นไปตามความสมัครใจที่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน โดยกระทรวงฯ จะเร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของการฉีดวัคซีน รวมถึงวิธีการปฏิบัติก่อนและหลังการฉีดวัคซีน สำหรับการฉีดวัคซีนให้ครูและบุคลากรทางการศึกษานั้น ขณะนี้มีครูได้รับวัคซีนไปแล้วกว่า 70% โดยแผนการจัดสรรวัคซีนในเดือนตุลาคมนี้จะให้สถานศึกษาส่งรายชื่อครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ยังไม่ได้รับวัคซีนมาด้วย เพื่อเร่งจัดสรรวัคซีนให้กลุ่มครู” ตรีนุชกล่าวในที่สุด

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X