Moderna Inc. ได้ยื่นขออนุมัติการใช้วัคซีนของบริษัทเป็นบูสเตอร์โดสสำหรับป้องกันโรคโควิด ต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ แล้ว
FDA อยู่ระหว่างการพิจารณาการใช้วัคซีนของ Pfizer Inc. และ BioNTech SE เพื่อเป็นบูสเตอร์โดส โดยปัจจุบันทางหน่วยงานอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอเท่านั้นที่จะได้รับการฉีดวัคซีน Moderna หรือ Pfizer เป็นเข็มที่ 3
โดย FDA เปิดเผยเมื่อวันพุธ (1 กันยายน) ว่าคณะที่ปรึกษาจะประชุมกันในวันที่ 17 กันยายนนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับการอนุญาตให้ใช้วัคซีนของ Pfizer เป็นบูสเตอร์โดส แต่ยังไม่ชัดเจนว่าที่ประชุมจะหารือเกี่ยวกับวัคซีนของ Moderna ด้วยหรือไม่
ด้าน Moderna เปิดเผยว่าได้ส่งข้อมูลเบื้องต้นเรื่องการใช้วัคซีนกระตุ้นให้กับ FDA แล้ว ทั้งนี้ในการฉีดวัคซีน Moderna เข็มที่ 3 นั้นจะเป็นการฉีดในขนาด 50 ไมโครกรัม ต่างจาก 2 เข็มแรก ซึ่งจะประกอบด้วย mRNA ปริมาณ 100 ไมโครกรัมในแต่ละช็อต
สเตฟาน บันเซล ซีอีโอของ Moderna กล่าวในแถลงการณ์ว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนขนาด 50 ไมโครกรัมมีการตอบสนองของแอนติบอดีต่อสายพันธุ์เดลตาที่แข็งแกร่ง โดยพบว่า ผู้เข้าร่วมการทดลองเกือบ 350 คนที่ได้รับวัคซีนเข็ม 3 สร้างการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าที่เห็นหลังจากให้วัคซีนเข็ม 2
ในส่วนของข้อมูลความปลอดภัย Moderna ระบุว่า ความปลอดภัยของการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 นั้นคล้ายกับการฉีดเข็ม 2
นอกจากนี้ Moderna เปิดเผยด้วยว่า บริษัทคาดว่าจะส่งข้อมูลไปยัง European Medicines Agency (EMA) และหน่วยงานกำกับดูแลอื่น ๆ ทั่วโลกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ทั้งนี้หลายประเทศได้เริ่มให้วัคซีนกระตุ้นหรือมีแผนที่จะให้วัคซีนกระตุ้นแก่ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ท่ามกลางจำนวนผู้ติดเชื้อและรักษาตัวในโรงพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้นอันเนื่องมาจากการระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตา ประกอบกับผลการศึกษาต่างๆ ยืนยันว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนมีระดับแอนติบอดีที่ลดลงหลังจากได้รับวัคซีนผ่านไป 6 เดือน
ภาพ: Marcos del Mazo / LightRocket via Getty Images
อ้างอิง: