วันนี้ (9 ธันวาคม) พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม นำทีมโฆษกเหล่าทัพแถลงข่าวชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทวีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่วานนี้ (8 ธันวาคม) โดยระบุว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง รวมถึงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ยิงถล่มเข้าใส่พื้นที่พักอาศัยของพลเรือน
ส่งผลให้ต้องมีการอพยพประชาชนเข้าสู่ศูนย์พักพิงฉุกเฉิน นอกจากนี้ ยังตรวจพบการเคลื่อนย้ายอาวุธยิงระยะไกลเข้ามาประชิดพื้นที่ไทยอีกด้วย
โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงต่อคณะทูตและองค์กรระหว่างประเทศกว่า 73 ประเทศ ถึงเหตุผลที่ไทยไม่สามารถใช้ความอดทนอดกลั้นได้อีกต่อไป ประกอบด้วย:
1. พฤติกรรมรุกรานซ้ำซาก: กัมพูชายังคงใช้วิธีการเดิมในการรุกรานและยั่วยุ เช่น การลอบวางทุ่นระเบิด แม้ฉากหน้าจะเรียกร้องสันติภาพ แต่ในทางปฏิบัติกลับเป็นผู้เริ่มก่อเหตุเสมอ
2. ความจำเป็นในการปกป้องดินแดน: ไทยมุ่งมั่นที่จะรักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินมาตรการทางทหารจนถึงที่สุด
3. ประชาชนหมดความอดทน: คนไทยต้องเผชิญกับภัยคุกคามซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของไทย รัฐบาลจึงต้องให้ความสำคัญสูงสุดกับการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
4. ปฏิบัติการจะดำเนินจนกว่าท่าทีเปลี่ยน: ปฏิบัติการทางทหารของไทยจะดำเนินต่อไปจนกว่ากัมพูชาจะเปลี่ยนจุดยืนและกลับสู่หนทางสันติภาพอย่างแท้จริง
5. การละเมิดข้อตกลง: กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและถ้อยแถลงร่วมที่เคยลงนามไว้ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ อย่างชัดเจน
พลเรือตรี สุรสันต์ ยืนยันว่า ปฏิบัติการของฝ่ายไทยเป็นไปตาม หลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยจำกัดเป้าหมายเฉพาะฐานที่มั่นทางทหารเพื่อลดทอนขีดความสามารถในการสู้รบของคู่กรณีเท่านั้น มีการแยกแยะเป้าหมายชัดเจนและคำนึงถึงความจำเป็นทางทหาร
ต่างจากการกระทำของฝ่ายกัมพูชาโดยสิ้นเชิง ที่จงใจใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายพลเรือน สถานพยาบาล และชุมชน เพื่อสร้างความโกลาหลและความตื่นตระหนกแก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์
โฆษกกระทรวงกลาโหม ระบุว่า ไทยต้องการสันติภาพ แต่สันติภาพนั้นจะต้องมาพร้อมกับความปลอดภัยและความมั่นคงของประชาชนเป็นสำคัญ


