×

Mission Impossible ปฏิบัติการตัดหน้าคว้า ‘ไกเซโด’ ของลิเวอร์พูล

11.08.2023
  • LOADING...
มอยเซส ไกเซโด

เช้าตรู่วันนี้สำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูลที่ตัดขาดจากโซเชียลมีเดียตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา อาจตกใจกับข่าวที่สโมสรเตรียมคว้าตัว มอยเซส ไกเซโด ด้วยค่าตัวเป็นสถิติของเกาะอังกฤษ 110 ล้านปอนด์

 

แต่สำหรับคนที่เกาะติดมาตั้งแต่ช่วงเย็นของเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ต่อเนื่อง และแทบจะเป็นอีกครั้งที่ทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว

 

สิ่งที่หลายคนสงสัยคือ ก่อนหน้านี้ลิเวอร์พูลไม่ได้มองกองกลางฮาร์ดแมนจากไบรท์ตันเป็นเป้าหมาย คนที่ตกเป็นข่าวด้วยเป็นระยะเวลานานกว่า 3 สัปดาห์คือ โรเมโอ ลาเวีย มิดฟิลด์ดาวโรจน์ชาวเบลเยียมของเซาแธมป์ตัน ที่ยักแย่ยักยันยื่นข้อเสนอไปแล้วถึง 3 ครั้ง แต่ถูกปฏิเสธทั้งหมด เพราะยังไม่ถึงตัวเลขที่ทีมนักบุญพอใจ

           

มิหนำซ้ำยังมีข่าวว่า เชลซีประกาศตัวเป็นคู่แข่งในการดึงลาเวียอีกทีม ด้วยการยื่นข้อเสนอให้สูงกว่าที่ 48 ล้านปอนด์ในช่วงวันพุธที่ผ่านมา

           

สถานการณ์มันพลิกผันกันได้อย่างไร?

           

และคำถามสำคัญที่หลายคนอาจไม่เข้าใจว่า ทำไมลิเวอร์พูลจึงยอมกล้าทุ่มซื้อไกเซโดในราคาที่สูงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยบอกว่าไม่มีงบสำหรับการซื้อ จูด เบลลิงแฮม หรือไม่ได้เข้าร่วมวงเจรจาคว้า ดีแคลน ไรซ์

 

มาลองดูรายละเอียดของ Mission Impossible ปฏิบัติการล่านักเตะสุดระทึกก่อนวันเปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีกกัน

 

มอยเซส ไกเซโด

 

ความลังเลในตัวลาเวีย

 

สิ่งที่รับรู้กันมาตลอดสำหรับเดอะค็อปทั่วโลกคือ ลิเวอร์พูลต้องการนักเตะเข้ามาเสริมกำลังในแดนกลางอย่างเร่งด่วน หลังจากที่มีการปล่อย ฟาบินโญ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ออกจากทีมไปให้กับสโมสรในซาอุดีอาระเบียในช่วงเดือนที่ผ่านมา

           

การย้ายทีมของทั้งคู่เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากแผนการของ เจอร์เกน คล็อปป์ เพราะเดิมกองกลางมากประสบการณ์ทั้งสองยังมีบทบาทในทีมอยู่ โดยเฉพาะฟาบินโญที่ยังถือเป็นแกนหลักของทีม คนที่ไม่อยู่ในแผนการทำทีมคือ เจมส์ มิลเนอร์, อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และ นาบี เกตา ที่หมดสัญญากับสโมสรพอดี ไม่นับ อาร์ตู เมโล ที่หมดสัญญายืมตัว

           

ถ้าไม่นับอาร์ตู ลิเวอร์พูลต้องการกองกลางเพื่อมาทดแทนจำนวน 3 คน ซึ่งทีมจัดหานักเตะที่เปลี่ยนถ่ายอำนาจมาอยู่ในมือของ ยอร์ก ชมัดเคอ ผู้อำนวยการสโมสรคนใหม่ ที่รับตำแหน่งชั่วคราวสำหรับช่วงตลาดซัมเมอร์นี้ ก็รับช่วงต่อได้ดีด้วยการปิดดีล อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ โดมินิก โซโบสไล ได้ค่อนข้างรวดเร็วและหวือหวา

           

เป้าหมายลำดับที่ 3 ที่ต้องการคือ ลาเวีย ไอ้หนูดาวรุ่งที่สามารถเล่นกองกลางตัวรับได้โดดเด่นในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่ผ่านมา แต่ติดที่เซาแธมป์ตันตั้งกำแพงค่าตัวเอาไว้ที่ 50 ล้านปอนด์ ซึ่ง ‘สูงเกินกว่า’ ที่ลิเวอร์พูลพร้อมจะจ่าย

           

เรื่องนี้ทำให้การเจรจาคืบหน้าช้ามาก และสโมสรตกอยู่ใต้สถานการณ์กดดันอย่างหนัก เมื่อฟาบินโญและเฮนเดอร์สันยอมรับข้อเสนอจากซาอุดีอาระเบียทั้งคู่ นั่นหมายถึงจากที่จะหาเพิ่มอีก 1 อาจหมายถึงต้องหาเพิ่มอย่างน้อย 2 คน

           

เซาแธมป์ตันใช้เรื่องนี้เป็นจุดยืนที่แข็งกร้าวไม่ยอมลดราคาให้ และปฏิเสธข้อเสนอ 3 ครั้งของลิเวอร์พูล โดยข้อเสนอล่าสุดอยู่ที่ 45 ล้านปอนด์

           

ส่วนต่าง 5 ล้านปอนด์นั้นดูไม่มาก และสำหรับแฟนบอลหลายคนไม่เข้าใจว่าคุยกันมาขนาดนี้จ่ายอีก 5 ล้านปอนด์ให้มันจบๆ ไปไม่ดีเหรอ? จะได้เดินหน้าหานักเตะคนอื่นต่อ

           
แต่ในรายละเอียดแล้วลิเวอร์พูลไม่ใช่ไม่มีเงิน แต่พวกเขาไม่พร้อมจะจ่ายเกินกว่าราคาตามความเป็นจริงมากเกินไป เพราะมันอาจส่งผลต่อการเจรจาในอนาคตได้ ซึ่งสำหรับลาเวีย แม้จะเป็นกองกลางที่โดดเด่น แต่ด้วยวัย 19 ปียังถือว่ากระดูกอ่อน และสโมสรเองก็มี สเตฟาน ไบเซติช กองกลางวัย 18 ปีที่มีความโดดเด่นเช่นเดียวกัน

           

ความลังเลของลิเวอร์พูลเกิดขึ้นพร้อมแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวันที่ผ่านไป โดยเฉพาะจากแฟนบอลที่แสดงความผิดหวังและขับไล่เจ้าของสโมสรด้วยแท็ก #FSGOUT กระหึ่มอีกครั้ง

           

แต่แล้วก็เกิดจุดพลิกผันสำคัญที่ไม่มีใครคาดคิด

 

มอยเซส ไกเซโด

 

ลิเวอร์พูล-ลาเวีย-ไกเซโด-เชลซี ใครยืมมือใคร?

 

แต่จุดพลิกผันที่สำคัญคือ การเข้ามาในวงเจรจาด้วยของเชลซีเมื่อวันพุธที่ผ่านมา

           

สโมสรจากลอนดอนไม่ได้มองลาเวียเป็นเป้าหมายสำคัญก่อนหน้านี้ โดยเป้าหมายอันดับหนึ่งของพวกเขาจริงๆ คือ มอยเซส ไกเซโด กองกลางจากไบรท์ตัน ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะมาแทน เอ็นโกโล ก็องเต ที่ย้ายไปซาอุดีอาระเบียเช่นกัน ซึ่งหากได้มาจะมาจับคู่กับ เอนโซ เฟร์นันเดซ ที่จะปรับบทบาทเป็นตัวคุมจังหวะเกมแทน และน่าจะเป็นการเข้าคู่ที่ลงตัว

           

เพียงแต่เชลซีก็ประสบปัญหาเดียวกับลิเวอร์พูลในการเจรจาลาเวีย เมื่อไบรท์ตันเจ้าของไกเซโดตั้งค่าตัวเอาไว้ที่ 100 ล้านปอนด์ ขณะที่เชลซีไม่คิดว่าค่าตัวควรจะสูงในระดับนั้น เพราะใกล้เคียงกับ เอนโซ เฟร์นันเดซ หรือ ดีแคลน ไรซ์ ทำให้การเจรจาติดขัด

           

ตัวของไกเซโดเองผิดหวังกับท่าทีของสโมสร และพยายามบีบให้เกิดการย้ายทีมให้ได้ด้วยการเก็บข้าวของจากล็อกเกอร์ในสนามซ้อมของสโมสร และไม่กลับมาซ้อมอีกเลยตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา แต่จุดยืนของไบรท์ตันยังคงหนักแน่นไม่ได้หวั่นไหว

           

เป็นเชลซีที่แสดงความไหวหวั่นก่อน ด้วยการยื่นข้อเสนอ 48 ล้านปอนด์เพื่อขอซื้อลาเวีย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าลิเวอร์พูล

           

สิ่งที่น่าสนใจคือ เชลซียื่นไปเหมือนไม่ได้อยากได้กองกลางวัย 19 ปีจริงๆ

           

พวกเขายื่นข้อเสนอที่เชื่อว่าจะถูกปฏิเสธจากเซาแธมป์ตัน (และถูกปฏิเสธจริงๆ) เพื่อเป็นการหวังกดดันไบรท์ตันให้ลดค่าตัวไกเซโดก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายใหญ่โต เพราะนักเตะไม่อยากกลับมาเล่นให้กับสโมสรอีกครั้งแล้ว

           

ท่าทีดังกล่าวกลับเป็นการส่งสัญญาณบอกกับลิเวอร์พูลว่า “เชลซีมีปัญหาเรื่องไกเซโด” อยู่

           

และนั่นทำให้พวกเขาคิดย้อนเกล็ดด้วยการติดต่อกับไบรท์ตัน เพื่อสอบถามความเป็นไปได้ในช่วงวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่น)

           

เริ่มแรกลิเวอร์พูลไม่ได้ตั้งความหวังมากนัก เพราะเข้าใจในกระบวนการเจรจาว่าเชลซีกับไกเซโดมีการติดต่อพูดคุยกันอย่างยาวนาน ขายโปรเจกต์ ขายฝัน มาเรียบร้อย นักเตะตกลงที่จะย้ายไปลอนดอนแล้ว เพียงแต่กองกลางทีมชาติเอกวาดอร์เป็นตัวเลือกที่ดีเกินกว่าที่สโมสรจะมองข้ามความเป็นไปได้

           

“ลองดูสักตั้ง” คือสิ่งที่ลิเวอร์พูลคิดในทีแรก

           

แต่ผลตอบรับที่ได้คือไบรท์ตันเปิดกว้าง จุดยืนของพวกเขาคือพร้อมขายให้ทีมไหนก็ได้ที่ให้เงินมากที่สุด

           

โดยเส้นตายอยู่ที่ ‘เที่ยงคืน’ ใครให้มากกว่าเอาไปเลย

 

มอยเซส ไกเซโด

 

Mission Impossible

 

เมื่อได้สัญญาณในทางบวก ลิเวอร์พูลเดินหน้าในการเจรจาตลอดวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

           

ชนิดที่ความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นแทบจะทุกรายชั่วโมง แม้กระทั่งผู้สื่อข่าวอังกฤษเองยังต้องบ่นอุบ เพราะเกาะติดกันจนดึกดื่น

           

ยักษ์ใหญ่จากเมอร์ซีย์ไซด์ที่คาดหวังจะกลับมาช่วงชิงพื้นที่แชมเปียนส์ลีกให้ได้อีกครั้งเป็นอย่างน้อย เริ่มจากการติดต่อไบรท์ตัน เพื่อแจ้งอย่างไม่เป็นทางการว่าจะมีการยื่นข้อเสนอเข้าไป และใช้เวลาตลอดทั้งวันในการร่างเอกสารต่างๆ ที่จำเป็น

           

จนมั่นใจว่าพร้อมสำหรับการยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการ ในตัวเลขที่ไบรท์ตันจะไม่ปฏิเสธพวกเขาเหมือนเชลซี

           

แต่ปัญหาที่ยากกว่าการคุยกับสโมสรคือ การคุยกับนักเตะที่ใจไปเชลซีแล้ว ซึ่งลิเวอร์พูลได้พยายามติดต่อเพื่อสอบถามความเป็นไปได้จากตัวของไกเซโดด้วย

           

เพราะหากสโมสรตอบรับแต่นักเตะไม่อยากมา ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเจรจา

           

ปรากฏว่าไกเซโดซึ่งอยู่ในภาวะ ‘ไปไหนก็ได้ขอให้ได้ไป’ แจ้งกับลิเวอร์พูลว่า เขาเปิดกว้างสำหรับการย้ายทีมเช่นกัน และนั่นทำให้การเจรจาคืบหน้าอย่างรวดเร็วทันที

           

จนในช่วงก่อนเที่ยงคืน ตามเวลาท้องถิ่น ลิเวอร์พูลยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการให้กับไบรท์ตัน โดยตัวเลขนั้นเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพราะสูงถึง 110 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติใหม่ของเกาะอังกฤษ แซงหน้าการย้ายทีมจากเวสต์แฮมไปอาร์เซนอลของ ดีแคลน ไรซ์ ที่ 105 ล้านปอนด์

           

ฟากเชลซีเมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะเพลี่ยงพล้ำ ก็ได้ยื่นข้อเสนอด้วยเช่นกัน เพียงแต่ข้อเสนอของพวกเขาอยู่ที่ 100 ล้านปอนด์เท่านั้น

           

หากเป็นไปตามที่ไบรท์ตันบอกว่าใครให้มากกว่าก็ได้ไป เท่ากับลิเวอร์พูลเป็นผู้ชนะในการประมูลครั้งนี้

           

โดยที่การย้ายทีมมีแนวโน้มจะเสร็จในวันนี้เลย เพราะนักเตะพร้อมเข้ารับการตรวจร่างกายที่ลอนดอนในวันนี้ หากเรียบร้อยก็คาดว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการ และเตรียมคอนเทนต์สำหรับการเปิดตัวในเวลาต่อไป

           

และที่ร้ายที่สุดคือ อาจได้เห็นไกเซโดจะลงสนามเจอกับเชลซีในเกมพรีเมียร์ลีก นัดแรก วันอาทิตย์นี้ หากการจัดการทุกอย่างเป็นไปด้วยดี (แต่อย่าคาดหวังมาก)

           

อย่างไรก็ดี ขีดเส้นใต้เอาไว้ตรงนี้ก่อนว่า ‘ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ’ ไม่ว่าจะกับลิเวอร์พูลหรือไบรท์ตัน

           

ทุกอย่างยัง Possible

 

มอยเซส ไกเซโด

 

ลิเวอร์พูลอารมณ์ไหนซื้อไกเซโด 110 ล้านปอนด์?

 

ถึงการย้ายทีมจะยังไม่เสร็จสิ้นดี (ขณะที่เขียน) แต่สิ่งที่แฟนลิเวอร์พูลหลายคนอดตั้งคำถามไม่ได้คือ ทำไมถึงกล้าซื้อไกเซโดในราคา 110 ล้านปอนด์

           

ดีขนาดนั้น? เก่งขนาดนั้น?

           

แล้วถ้ามีเงินทำไมไม่ซื้อ จูด เบลลิงแฮม ตั้งแต่แรก?

           

เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ‘สถานการณ์’ ไม่เหมือนกัน เพราะในระหว่างที่ลิเวอร์พูลตัดสินใจที่จะไม่ซื้อเบลลิงแฮมในเดือนเมษายน โดยเป็นฝ่าย ‘ตัดใจ’ ขอถอนตัวออกจากวงเจรจาเองนั้น พวกเขาตระหนักดีว่าทีมจะต้องมีการรื้อตำแหน่งกองกลางหลายตำแหน่ง เพราะที่มีอยู่แทบใช้การดีๆ ไม่ได้เลย

           

ระหว่างเบลลิงแฮมที่คาดว่าจะมีค่าตัว 120-150 ล้านปอนด์คนเดียว ลิเวอร์พูลขอเลือกที่จะซื้อกองกลางสัก 2-3 คนในงบประมาณที่เท่าหรือใกล้เคียงกันดีกว่า

           

อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่พวกเขาจะอกหักสูงด้วย เพราะคู่แข่งคือ เรอัล มาดริด หนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก (ส่วน ดีแคลน ไรซ์ เป็นที่รู้กันดีว่าเลือกอาร์เซนอลมาโดยตลอด)

           

การเดินหน้าคว้า อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ โดมินิก โซโบสไล ที่ได้ด้วยการจ่ายเงินค่าปล่อยตัวตามสัญญารวมกัน 2 คนที่ 95 ล้านปอนด์ เป็นการตัดสินใจที่ฉลาดและได้รับการชมเชยเป็นอย่างมาก ซึ่งในช่วงพรีซีซันที่ผ่านมาทั้งสองก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เป็นนักฟุตบอลคุณภาพที่มีโอกาสปรับตัวเข้ากับทีมได้อย่างรวดเร็วและช่วยทีมได้แน่นอน

           

แต่สถานการณ์ในปัจจุบัน ลิเวอร์พูลปล่อยฟาบินโญและเฮนเดอร์สันได้เงินรวมกันกลับมาราว 50 ล้านปอนด์ เงินก้อนนี้คือ ‘ต้นทุน’ ที่กลับมาสำหรับการซื้อหานักเตะใหม่

           

นั่นหมายถึงในค่าตัว 110 ล้านปอนด์ของไกเซโด ลิเวอร์พูลจ่ายเพิ่มเองอีกราว 60 ล้านปอนด์เท่านั้น ซึ่งถ้ารวมกับค่าตัวของ แม็ค อัลลิสเตอร์ และโซโบสไลแล้ว เงินค่าตัวรวมทั้งหมดที่จ่ายไปอยู่ที่ 155 ล้านปอนด์

           

ใกล้เคียงกับตัวเลขที่อาจต้องยอมจ่ายเพื่อเบลลิงแฮมแค่คนเดียว แต่ได้กลับมา 3 คน โดยที่แก้ปัญหาระยะยาวของสโมสรได้ด้วย เพราะฟาบินโญในวัย 29 ปี และเฮนเดอร์สันในวัย 33 ปี อยู่ในช่วงขาลงอย่างชัดเจน หลังกรำศึกหนักต่อเนื่องมาหลายปี

           

ไกเซโดในวัย 21 ปี, โซโบสไล 22 ปี และแม็ค อัลลิสเตอร์ ในวัย 24 ปี ถือเป็นการ ‘ยกเครื่อง’ ที่ยอดเยี่ยม

           

โดยที่ยังมี เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (24 ปี) ซึ่งจะเป็นแกนหลักของทีมในตำแหน่งมิดฟิลด์ไฮบริด รับบทบาท ‘ควอเตอร์แบ็ก’ ร่วมด้วย เคอร์ติส โจนส์ (22 ปี) สายเลือดสโมสร, ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ (20 ปี), สเตฟาน ไบเซติช (18 ปี)

           

และพี่ใหญ่อย่าง ติอาโก อัลกันตารา ในวัย 33 ปี ที่จะอยู่กับสโมสรเป็นฤดูกาลสุดท้ายเพื่อประคับประคองน้องๆ

           

สำหรับ มอยเซส ไกเซโด เป็นกองกลางตัวรับที่โดดเด่นในเรื่องของความแข็งแกร่งและพลังไดนามิกในตัวสูง ชวนให้คิดถึงโคตรมิดฟิลด์อย่างก็องเต ที่นอกจากจะรับดีแล้ว ยังสามารถเติมเกมขึ้นมาเล่นแดนบนได้ด้วย

           

ความสารพัดประโยชน์ก็พอมี เพราะเคยรับบทบาทแบ็กขวาจำเป็นให้ไบรท์ตันและทำได้ดีด้วย

           

ที่สำคัญคือ คุ้นเคยกับแม็ค อัลลิสเตอร์ ดีอยู่แล้ว และการเข้าคู่ของทั้งสองก็เป็นหนึ่งในคู่มิดฟิลด์ที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่แล้ว

           

เงิน 110 ล้านปอนด์ก้อนนี้จึงเป็นการลงทุนที่มีเหตุมีผลพอสมควร

           

ที่สำคัญสำหรับ FSG ในฐานะเจ้าของสโมสรที่ถูกตั้งคำถามเอาไว้มาก การจ่ายเงินระดับนี้จะช่วยลดแรงเสียดทานของพวกเขาได้มาก

           

อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่า ลิเวอร์พูลยังเป็นสโมสรที่ ‘มีความทะเยอทะยาน’ พวกเขาพร้อมจะจ่ายแพงเพื่อนักเตะที่จะเปลี่ยนแปลงทีมได้

           

ไกเซโดถูกมองไว้แบบนั้น ซึ่งตอนนี้สโมสรก็ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้ว

           

เหลือแต่รอคำว่า Here We Go! อย่างเดียว ที่หวังว่าจะเกิดขึ้นในวันนี้โดยไม่มีเหตุอะไรให้ตกใจอีก!

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising