มิสไซล์ 'รัสเซีย' ถล่มโอเดสซา ระเบิดใกล้ เซเลนสกี-นายกฯ กรีซ 150 เมตร

เกิดเหตุขีปนาวุธของรัสเซียโจมตีบริเวณท่าเรือในเมืองโอเดสซาของยูเครน ระหว่างที่ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี และนายกรัฐมนตรีคีเรียกอส มิตโซตากิส ของกรีซ เดินทางไปเยือนวานนี้ (6 มีนาคม) โดยจุดที่ขีปนาวุธโจมตีนั้น มีรายงานว่าอยู่ใกล้กับอาคารที่ทั้งสองผู้นำมีกำหนดการประชุมร่วมกัน ซึ่งเสียงระเบิดดังสนั่นในระยะใกล้ ส่งผลให้ต้องยุติการประชุมและเดินทางออกจากเมืองทันที

ดมิโตร เพลเตนชุก (Dmytro Pletenchuk) โฆษกกองทัพเรือยูเครนรายงานว่า การโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ผู้นำกรีซพร้อมคณะกำลังเยี่ยมชมท่าเรือพร้อมกับเซเลนสกี โดยพุ่งเป้าไปที่โครงสร้างพื้นฐานของท่าเรือ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 5 คน และบาดเจ็บอีกไม่ทราบจำนวน

ขณะที่เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ ProtoThema ของกรีซ รายงานโดยอ้างข้อมูลจากรัฐมนตรีแห่งรัฐและแหล่งข่าวในรัฐบาลกรีซว่า ขีปนาวุธของรัสเซียเกิดระเบิดใกล้กับอาคารที่ทั้งสองผู้นำเตรียมประชุม ในระยะห่างเพียงประมาณ 150 เมตร

ทั้งนี้ กรีซซึ่งเป็นสมาชิก NATO ถือเป็นชาติพันธมิตรที่สนับสนุนยูเครน และได้เสนอให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนในช่วงที่เกิดสงครามตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

โดยหลังเกิดเหตุ นายกรัฐมนตรีมิตโซตากิสเปิดเผยว่า ได้ยินเสียงระเบิดและไซเรนดังขึ้นในระยะใกล้ จนไม่สามารถหาที่หลบภัยได้ทัน

“เราไม่มีเวลาไปศูนย์พักพิง มันเป็นประสบการณ์ที่ดุเดือดมาก มันแตกต่างจากที่เคยอ่านเกี่ยวกับสงครามในหนังสือพิมพ์มากจริงๆ การได้ยินกับหูและเห็นด้วยตาของคุณเอง” เขากล่าว

ประณามรัสเซียโจมตีไม่สนพลเรือน

ขณะที่เซเลนสกีประณามการโจมตีของรัสเซียโดยไม่สนใจว่าเป้าหมายจะเป็นทหารหรือพลเรือน

“กองกำลังทหารรัสเซียไม่สนใจว่าเป้าหมายจะเป็นทหารหรือพลเรือน ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร ไม่ว่าจะเป็นแขกต่างชาติหรือไม่ก็ตาม คนเหล่านี้ไม่สนใจ”

โดยทางกระทรวงกลาโหมรัสเซียอ้างว่า “ได้ทำการโจมตีพุ่งเป้าไปที่โรงเก็บเครื่องบินในบริเวณท่าเรือพาณิชย์ของเมืองโอเดสซา ซึ่งกองทัพยูเครนกำลังเตรียมโดรนเพื่อใช้ในการต่อสู้”

เหตุโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากเกิดเหตุโดรนของรัสเซียพุ่งชนอาคารอพาร์ตเมนต์ในเมืองติดทะเลดำแห่งหนึ่ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 12 คน รวมถึงเด็ก 5 คน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการโจมตีที่คร่าชีวิตพลเรือนยูเครนมากที่สุดในรอบหลายสัปดาห์

ภาพ: Ukrainian Presidential Press Service / Handout via REUTERS

อ้างอิง: