MINT ทำกำไรสุทธิปี 2567 พุ่งทะยานขึ้น 43% ราว 7,750 ล้านบาท รับแรงหนุนจากธุรกิจโรงแรม-อาหารพร้อมเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารทั่วโลก
บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) รายงานผลการดำเนินงานทางการเงินที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โดยในปี 2567 มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 43% หรืออยู่ที่ 7,750 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่อยู่ที่ 3,632 ล้านบาท
การเติบโตดังกล่าวมาจากแรงหนุนของธุรกิจโรงแรมยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการเดินทางทั่วโลกและการดำเนินการเชิงกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในตลาดสำคัญ เริ่มตั้งแต่ยุโรปและอเมริกา รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน นำโดยราคาห้องพักเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น 6%
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- MINT กำไรสุทธิครึ่งปีแรกพุ่ง 74% แตะ 3.9 พันล้านบาท มั่นใจครึ่งปีหลังต่อโตจากไฮซีซันในยุโรปและเอเชีย
- ไขคำตอบ MINT กำไรครึ่งปีแรกพุ่ง 74%! อะไรคือแรงขับเคลื่อนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้?
- MINT กำไรสุทธิครึ่งปีแรกพุ่ง 74% แตะ 3.9 พันล้านบาท มั่นใจครึ่งปีหลังต่อโตจากไฮซีซันในยุโรปและเอเชีย
โดยได้รับแรงหนุนจากการกำหนดราคาและการเดินทางในภูมิภาค ซึ่งสเปนเป็นประเทศที่มีการเติบโตดีที่สุด รองลงมาคือยุโรปกลาง เบเนลักซ์ และอิตาลี
ตามด้วยประเทศไทย รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนพุ่งสูงขึ้น 17% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการขยายเส้นทางการบินและกลยุทธ์การขายแบบกำหนดเป้าหมายที่ดึงดูดนักเดินทางคุณภาพสูงจากสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย
ทั้งนี้ ในปี 2567 ได้เปิดโรงแรมใหม่ 30 แห่ง มีห้องพักกว่า 3,000 ห้อง ภายใต้โมเดลธุรกิจ Asset-light Model โดยโรงแรมที่เปิดใหม่ ได้แก่ NH Collection Helsinki Grand Hansa ในประเทศฟินแลนด์
โรงแรม Anantara Stanley & Livingstone Victoria Falls ในประเทศซิมบับเว และ Anantara Jewel Bagh Jaipur Hotel ในรัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเป็นผู้นำของ MINT ในตลาดใหม่ๆ ที่มีอัตราการเติบโตสูง
เช่นเดียวกับธุรกิจร้านอาหาร ปีที่ผ่านมามียอดขายโดยรวมทุกสาขา (TSS) ในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 8% และสิงคโปร์มียอดขายรวมเติบโตขึ้น 12% เป็นผลมาจากการขยายตัวของยอดขายต่อร้านเดิมและจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น ที่ผ่านมาได้พัฒนานวัตกรรมใหม่ให้กับแบรนด์ต่างๆ เพื่อเพิ่มจำนวนลูกค้าให้มากขึ้น
รวมถึงการเปิดตัวแบรนด์และรูปแบบร้านค้าใหม่ๆ เช่น ร้าน สเต็ก แอนด์ มอร์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นตัวเลือกการรับประทานอาหารระดับพรีเมียมในราคาที่เข้าถึงได้ และร้านแบทเทอร์แคช (สิงคโปร์) ซึ่งเป็นแนวคิดร้านฟิชแอนด์ชิปส์สมัยใหม่ที่ดึงดูด ผู้บริโภคในเมือง
ขณะเดียวกัน ไมเนอร์ ฟู้ดได้เร่งการขยายธุรกิจด้วย Asset-light Model ผ่านความสำเร็จของการขายแฟรนไชส์ทรัพย์สินทางปัญญาระดับโลกที่บริษัทเป็นเจ้าของ เช่น เบนิฮานา, ซิซซ์เล่อร์ และกาก้า โดยมีการเปิดร้านเบนิฮานาที่กรุงปารีส การเปิดสาขาซิซซ์เล่อร์หลายแห่งในประเทศญี่ปุ่นและเวียดนาม และการขยายสาขาร้านกาก้าทั่วประเทศไทย
สำหรับทิศทางต่อจากนี้อยู่ระหว่างการเตรียมเปิดตัวโรงแรมเชิงกลยุทธ์ในประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และซาอุดีอาระเบีย รวมถึงการปรับรูปแบบร้านค้าให้มีความหลากหลาย และขยายแฟรนไชส์ ทั้งหมดจะทำให้การดำเนินงานในตลาดสำคัญที่มีการเติบโตสูง