หลังจากผ่านวิกฤตโควิด ทิศทางของบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ก็กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งเรื่อยมา ซึ่งสิ่งที่สะท้อนได้ดีที่สุดคือ ‘ผลประกอบการ’
MINT รายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ระบุว่า ในปี 2566 นั้นรายได้จากการดำเนินงานของทั้งกลุ่มอยู่ที่ 153,486 ล้านบาท เติบโต 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่มีความต้องการการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและกลยุทธ์การตั้งราคา อีกทั้งการฟื้นตัวของการรับประทานอาหารภายในร้านและการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมใหม่ ส่งผลให้การดำเนินงานของกลุ่มร้านอาหารเติบโตขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ผู้ก่อตั้ง MINT มองนายกฯ เป็น ‘ทูตทางธุรกิจ’ (Top Salesperson) ที่ช่วยดึงความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ แนะควรให้ความสำคัญเรื่องอื่นด้วย
- นักวิเคราะห์ชี้ หุ้น MINT ราคาต่ำ ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานและการเติบโตโดดเด่น หลังกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งช่วยลดหนี้ก้อนใหญ่เมื่อ ธ.ค. ที่ผ่านมา
- เมื่อการท่องเที่ยวทั่วโลกฟื้นตัว ‘MINT’ คือหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ไปเต็มๆ จากโรงแรมที่มีกว่า 55 ประเทศในทุกทวีป
ทั้งหมดนี้ได้สะท้อนออกมายังการรายงานผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเติบโต 3 เท่า ที่ 7,100 ล้านบาท สร้างบรรทัดฐานใหม่สำหรับผลกำไรสุทธิประจำปีสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของ MINT ที่ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในทวีปยุโรปในขณะเดียวกันกับการฟื้นตัวของการเดินทางในประเทศไทย
ในไตรมาส 4/66 ไมเนอร์ โฮเทลส์รายงานรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของโรงแรมในประเทศไทยและทวีปยุโรปและลาตินอเมริกา เติบโตที่ 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าปี 2562 ที่ 23% และ 27% ตามลำดับ ตลอดทั้งปี 2566 ไมเนอร์ โฮเทลส์มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนทั้งหมดมากกว่าปี 2565 และปี 2562 ที่ 30% และ 31% ตามลำดับ ในขณะเดียวกันไมเนอร์ ฟู้ดรายงานยอดขายโดยรวมทุกสาขาในปี 2566 เติบโต 11% โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของกิจกรรมการรับประทานอาหารภายในร้าน ตลอดจนกลยุทธ์ด้านการเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ และการตลาดของธุรกิจในทุกประเทศ
“สำหรับภาพรวมด้านการท่องเที่ยว เชื่อมั่นว่าสถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 2567 MINT มีรายได้จากห้องพักในเดือนมกราคมและรายได้จากการจองห้องพักล่วงหน้าในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมสูงกว่าระดับของปี 2566 ในช่วงเวลาเดียวกันถึง 39% สำหรับประเทศไทย และที่ 20% สำหรับทวีปยุโรป” ดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าว
สำหรับปี 2567 เป้าหมายของ MINT คือการเร่งสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ โดยในส่วนของธุรกิจโรงแรมจะมุ่งไปที่การรีโนเวต รีแบรนด์ เพื่อรองรับดีมานด์ของตลาด ภายใต้การดำเนินงานด้วยกลยุทธ์หลัก 3 ด้าน ประกอบด้วย
- มุ่งขยายธุรกิจ ภายใน 3 ปีมีแผนขยายโรงแรมถึง 780 แห่ง ขณะที่ร้านอาหารมีแผนขยายถึง 3,700 สาขา มีสัดส่วนของภาพรวมในธุรกิจโฮเทลแบ่งเป็น 90% สำหรับต่างประเทศ และ 10% สำหรับประเทศไทย ในส่วนของธุรกิจฟู้ดแบ่งเป็น 60% สำหรับประเทศไทย และ 40% สำหรับต่างประเทศ
- การเร่งลดภาระหนี้ เพื่อเพิ่มผลกำไรให้เติบโตมากขึ้น โดยตั้งเป้าลดอัตราหนี้สินจาก 1 เท่า ลดลงเหลือเพียง 0.8 เท่าภายในสิ้นปี 2567
- เน้นกลยุทธ์ Asset Light ขยายธุรกิจการรับจ้างบริหารโรงแรมและการขยายแฟรนไชส์เพื่อลดต้นทุนด้านธุรกิจ ซึ่งจะทำให้ไมเนอร์ โฮเทลส์เป็นเจ้าของหรือถือสิทธิ์สัญญาเช่าเกือบ 70% ของโรงแรม 540 แห่งทั่วโลกในปัจจุบัน ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวคาดว่าจะลดลงเหลือประมาณ 50% จากการปรับสมดุลของสัดส่วนรูปแบบธุรกิจแบบรับบริหารและแบบแฟรนไชส์
โดยไมเนอร์ตั้งเป้าที่จะรับบริหารโรงแรมมากกว่า 150 แห่งในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ส่วนแบ่งของการดำเนินธุรกิจในรูปแบบผสมเติบโตจาก 19% ในปี 2566 เป็น 38% ในปี 2569 นอกจากนี้ไมเนอร์ได้ตั้งเป้าการทำสัญญาแบบแฟรนไชส์พร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโตด้านการลงทุนในพอร์ตโฟลิโอโรงแรมอย่างต่อเนื่อง
“สำหรับปี 2567 เรากรอบลงทุนอยู่ที่ 10,000-13,000 ล้านบาท และสำหรับปี 2567-2569 กรอบลงทุนอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท”
สิ่งที่น่าสนใจคือไมเนอร์ โฮเทลส์ยังมีแผนที่จะปรับเปลี่ยนสัดส่วนตามภูมิศาสตร์ด้วยการกระจายโรงแรมและรีสอร์ตไปทั่วโลกให้ทั่วถึง โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งของโรงแรมกว่า 200 แห่งที่ตั้งเป้าเปิดให้บริการภายในปี 2569 จะอยู่ในภูมิภาคเอเชีย
ในขณะที่โรงแรมเปิดใหม่ในยุโรปและตะวันออกกลางจะมีจำนวนมากกว่า 50 แห่งในแต่ละภูมิภาค และยังจะเปิดโรงแรมใหม่ภายใต้แบรนด์ต่างๆ ของเครือในภูมิภาคอื่นๆ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ทวีปอเมริกา และทวีปแอฟริกา
กลยุทธ์ดังกล่าวจะทำให้การกระจายสัดส่วนโรงแรมทั่วโลกสมดุลยิ่งขึ้น โดยคาดว่าสัดส่วนห้องพักในเอเชียต่อสัดส่วนห้องพักทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 12% เป็น 23% และจาก 9% เป็น 16% สำหรับภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาภายในปี 2569 การเติบโตอย่างก้าวกระโดดในภูมิภาคอื่นคาดว่าจะส่งผลให้สัดส่วนห้องพักในยุโรปลดลงเหลือ 45% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 60%
“ท่ามกลางสถานการณ์ที่ผันผวน MINT เติบโตสวนกระแสด้วยการบริหารจัดการธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ ความท้าทายแรกคือการมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจบุกเข้าไปยังตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องทั้งกลุ่มโรงแรมและอาหาร เพื่อสร้างการเติบโตให้เป็นไปตามเป้าหมาย ในขณะเดียวกันอีกความท้าทายคือการให้ความสำคัญด้านการพัฒนาบุคลากรให้เพียงพอและมีศักยภาพในการรองรับการให้บริการในทุกกลุ่มธุรกิจ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน” ดิลลิปกล่าว