“ถึงวันนี้ธุรกิจร้านอาหารยังมีการแข่งขันสูงมาก โดยเฉพาะแบรนด์ใหญ่ที่อยู่ในตลาดมานาน สามารถครองพื้นที่ในตลาดแมสได้อย่างครอบคลุม ส่วนตลาดระดับบน โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่าง พื้นที่รีเทลแห่งใหม่ในย่านดุสิตที่มีแต่แบรนด์เกิดใหม่เข้ามาเปิดร้านกันอย่างคับคั่ง สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางใหม่ของธุรกิจรีเทล ที่มุ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มบนซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง” อนุพนธ์ นิธิยานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าว
ในช่วงเวลาเดียวกัน ยังได้เห็นโอกาสและช่องว่างในตลาดร้านอาหารอิตาเลียนระดับพรีเมียม ที่ยังมีแนวโน้มสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ จากข้อมูล พบว่า ประเทศไทยมีร้านอิตาเลียนกว่า 400 ร้าน ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในย่านธุรกิจอย่างสีลม ตามด้วยสุขุมวิท ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในตรอกซอยที่เข้าถึงได้ยาก โดยจะมุ่งจับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก
ที่ผ่านมา ไมเนอร์ฟู้ด ได้ศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคไทย พบว่ายังคงชื่นชอบอาหารตะวันตก โดยเฉพาะเมนูพิซซ่า ซึ่งไมเนอร์ฟู้ด เป็นผู้บุกเบิกตลาด ด้วยการเปิดร้าน เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ในไทยมากว่า 40 ปี ปัจจุบันครองสัดส่วนรายได้กว่า 60% ของกลุ่มธุรกิจอาหารตะวันตกในพอร์ตของไมเนอร์ฟู้ด และมีการเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมีความคุ้นเคยกับอาหารสไตล์อิตาเลียนมากขึ้น และเปิดโอกาสให้แบรนด์ใหม่สามารถต่อยอดเข้าสู่ตลาดพรีเมียมได้ง่ายขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- จากชานมไข่มุกสู่ของทอด ‘ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป’ เปิดตัว 4 แบรนด์ร้านอาหารใหม่ พอร์ตโฟลิโอในไทยรับกำลังซื้อโต
- เดอะ พิซซ่า คอมปะนี เผยภาพรวมธุรกิจปี 66 โตสุดสตรองต่อเนื่อง ชูผู้นำเกมแห่งวงการพิซซ่าในไทย พร้อมส่งแคมเปญ ‘สุขล้นขอบ’ ดันยอดขายคึกคักส่งท้ายปี
- กรณีศึกษา การรีแบรนด์ที่พลิกเกมของ The Pizza Company ผู้นำการปฏิวัติวัฒนธรรมพิซซ่าที่ไม่มีใครล้มได้!
อีกเทรนด์หนึ่งที่กำลังมาแรง คือปัจจุบันตลาดรีเทลและศูนย์การค้า ต้องการดึงดูดแบรนด์ร้านอาหารที่มีรูปแบบและเอกลักษณ์ใหม่ๆ เข้ามาเสริมประสบการณ์ภายในศูนย์ฯ จึงทำให้ไมเนอร์ฟู้ด ตัดสินใจกระโดดเข้าสู่ตลาดนี้ ด้วยการเปิดตัวร้านอาหารแบรนด์ใหม่ ภายใต้ชื่อ Hey Gusto (เฮย์ กุสโต) เป็นร้านอาหารอิตาเลียนระดับพรีเมียมแห่งแรกของบริษัท ในคอนเซ็ปต์โฮมคุกสไตล์อิตาเลียน ซึ่งเป็นแบรนด์ที่บริษัทพัฒนาขึ้นมาเอง ประเดิมเปิดสาขาแรกที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
สำหรับแบรนด์ใหม่ ได้รับแรงบันดาลใจจาก Vivo Resto ซึ่งเป็นร้านอาหารอิตาเลียนพรีเมียมในเครือไมเนอร์ฟู้ด ที่ประเทศสิงคโปร์ ที่ผ่านมาทีมงานจากไทยได้เดินทางไปศึกษาโมเดลการดำเนินงานและนำเมนูขายดี มาปรับรสชาติให้เข้ากับความชอบของผู้บริโภคชาวไทย ทั้งหมดใช้เวลาในการพัฒนากว่า 6 เดือน
ถามว่าทำไมถึงเลือกเปิดสาขาแรกที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพราะมองว่าเป็นทำเลที่ดึงดูดได้ทั้งลูกค้าคนไทยและนักท่องเที่ยว ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์อย่างชัดเจน และร้านใหม่ได้ถูกปรับมาจากพื้นที่เดิม เพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ร้านระดับพรีเมียม
อนุพนธ์ ยอมรับว่าการเปิดร้านอาหารแบรนด์ใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งเป็นร้านที่มีสาขาเดียว แม้ในทางทฤษฎีการควบคุมคุณภาพจะง่ายขึ้น แต่ด้วยความที่ร้านถูกออกแบบให้เป็นร้านพรีเมียมจึงต้องใช้เวลาฝึกอบรมพนักงานนานกว่า 3 เดือนเพื่อรักษามาตรฐานของร้านเอาไว้ และต้องมีการพัฒนาเมนูใหม่ๆ เข้ามาเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค โดยคาดว่ากว่าที่แบรนด์จะเป็นที่รู้จักในตลาดจะต้องใช้เวลา และบริษัทต้องใช้สื่อหลากหลายรูปแบบเพื่อให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด
ทั้งนี้ หลังเปิดให้บริการมาเพียง 1 เดือน ผลตอบรับจากลูกค้าดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ เมื่อเทียบกับแบรนด์เดิมที่เปิดในโลเคชันเดียวกัน โดยลูกค้ามีทั้งชาวต่างชาติและคนไทย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ลูกค้าต่างชาติจะมีกำลังซื้อสูง แต่บริษัทมุ่งไปที่การเพิ่มสัดส่วนลูกค้าคนไทยมากกว่า เนื่องจากมองว่าเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้ในระยะยาว ซึ่งจะสามารถรองรับกับสถานการณ์ความไม่แน่นอน เหมือนกับในช่วงโควิดที่ผ่านมา
ส่วนแผนการขยายสาขา มองว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อประเมินผลรายได้ ก่อนจะตัดสินใจขยายสาขาเพิ่มเติมในอนาคต แต่การเปิดแบรนด์ใหม่นี้มีเป้าหมายเพื่อเติมเต็มพอร์ตธุรกิจที่ยังไม่มีแบรนด์ระดับพรีเมียม โดยบริษัทเชื่อมั่นว่าแบรนด์ใหม่มีโอกาสเติบโตได้ดีในตลาดบนและจะช่วยเสริมแวลูให้กับบริษัทในระยะยาว
“สุดท้ายแล้วการสร้างแบรนด์ก็เหมือนคน ที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เติบโตได้ในตลาดที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างไรนั้น การสร้างแบรนด์พรีเมียมมีความท้าทายน้อยกว่าแบรนด์แมสที่ต้องแข่งขันในตลาดที่กว้างและต้องรักษาลูกค้าหลายกลุ่ม ซึ่งทิศทางในอนาคต บริษัทจะไม่เข้าไปแข่งขันในตลาดอาหารเอเชีย เช่น เกาหลีหรือจีน ที่ปัจจุบันเริ่มอิ่มตัวและเน้นการแข่งขันด้านราคา กระทั่งบางรายที่ไปต่อไม่ไหวก็ต้องปิดตัวไปจากตลาด” อนุพนธ์ ย้ำ