ช่วงต้นเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา ฝั่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ เล่าถึงการพบปะกับนักธุรกิจเพื่อหาทางลดอุปสรรคในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยหนึ่งในประเด็นที่นักธุรกิจหยิบมาพูดคุยกันคือ การพิจารณาลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเพื่อให้แข่งขันกับต่างชาติได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าว ยังเป็นเพียงการหยิบยกขึ้นมาหารือกันเท่านั้น
ล่าสุด อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวหลังการปาฐกถาพิเศษ ‘โรดแมปเศรษฐกิจ-ลงทุนประเทศไทย’ ในงานสัมมนาวัคซีนเศรษฐกิจ วัคซีนประเทศไทย จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจว่า ขณะนี้ยังไม่ได้คิดเรื่องการลดระดับภาษีนิติบุคคลที่อยู่ราว 20%
เพราะปัจจุบันระดับภาษีของไทยยังสูงกว่าประเทศสิงคโปร์เท่านั้น และยังมีระดับใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ ซึ่งภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษีผ่าน BOI ได้ และรายได้ภาษีเงินได้ยังเป็นรายได้หลักของประเทศ
ทั้งนี้คาดว่าไทยต้องใช้เวลา 1-2 ปีจึงจะฟื้นตัว และเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ทางกระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างการพิจารณาหลายมาตรการ ได้แก่ คนละครึ่งพิจารณาว่าจะมีเฟส 3 หรือไม่
ขณะที่สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) อยู่ระหว่างการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าจะแก้ขยายให้ธุรกิจรายใหญ่มากขึ้น เช่น โรงแรม ฯลฯ จากเดิมที่เปิดให้เฉพาะธุรกิจ SMEs รวมถึงมาตรการโกดังพักหนี้ หรือ Asset Warehousing ให้ธุรกิจที่ยังไปต่อไม่ได้สามารถพักทรัพย์และซื้อคืนได้เมื่อพร้อม
ด้านภาพรวมของเศรษฐกิจไทยปี 2564 ล่าสุดทาง IMF ประเมินว่าจะเติบโต 2.6% และยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวผ่านการใช้นโยบายการคลังและนโยบายการเงินที่ยังผ่อนคลายและเห็นอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำในทุกประเทศทั่วโลก
ทั้งนี้การคาดการณ์ GDP ของ IMF ใกล้เคียงกับกรอบของคลังที่อยู่ 2.5-3.5% (ค่ากลาง 2.8%) แต่รัฐบาลยังมองเป้าหมาย GDP ปี 2564 ที่ 4% ที่ถือว่าเป็นเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน โดยคาดว่าการเติบโตจะมาจากการส่งออกที่ฟื้นตัว และนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ วงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงการลงทุนของภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจในไทยที่จะเดินต่อเนื่องจากช่วงที่มีโควิด-19
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยปี 2564 จะสามารถเติบโต 4% ได้หรือไม่ ยังขึ้นอยู่กับนโยบายการเปิดประเทศ เปิดการท่องเที่ยวของไทยในช่วงไตรมาส 4/64 นี้ โดยเชื่อว่าไตรมาส 4/64 และปี 2565 คาดว่ารายได้ท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นจากมาตรการรัฐที่จะออกมาเพิ่มเติม
“เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวเต็มที่ อยู่ที่ปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ทั้งเรื่องรายได้เงินตราต่างประเทศที่ยังไม่เข้ามา หรือส่วนที่เข้ามาแล้วอย่างภาคการส่งออก ตอนนี้ยังไม่โตเท่าที่ควร แต่ส่วนที่หายไปเลยคือการท่องเที่ยวอย่างปี 2564 คาดไว้ที่ 8 ล้านคน ลดลงมาเหลือ 5 ล้านคน”
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยต้องกระตุ้นการเติบโตผ่านสร้าง New S-curve ใน 3 เรื่อง ได้แก่
- การปฏิรูปภาษีต้องเป็นประโยชน์ ที่จะขยายไปที่ Digital Business แพลตฟอร์มต่างๆ รวมถึงโครงสร้างภาษี-การเก็บภาษีธุรกิจออนไลน์ (บริการจากต่างประเทศ)
- Climate Change ที่เป็นโจทย์ของโลกที่กำลังเกิดขึ้นและเข้มงวดขึ้นระหว่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อการเกิดนวัตกรรมต่างๆ เช่น Clean Enegy Clean Bussiness
- ภาคสุขภาพและการแพทย์เพื่อตอบโจทย์ผู้สูงอายุในอนาคต ทั้งโจทย์การรักษาและการดูแล
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า