ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางที่ปะทุขึ้นอีกครั้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน กำลังสร้างความกังวลไปทั่วโลก และส่งผลกระทบโดยตรงต่อสินทรัพย์ลงทุน คำถามสำคัญคือนักลงทุนควรปรับกลยุทธ์รับมืออย่างไร?
สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้นในรูปแบบคล้ายกันมาแล้ว ทั้งกรณีรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-กลุ่มฮามาส อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งครั้งนี้มีรายละเอียดที่นักลงทุนต้องจับตาเป็นพิเศษ
สถิติชี้ผันผวนระยะสั้น ตลาดใช้เวลาฟื้นตัวราว 2 เดือน
จากสถิติที่ InnovestX รวบรวม พบว่าความขัดแย้งในตะวันออกกลางมักสร้างความผันผวนให้ตลาดหุ้นโลกในช่วงแรก โดยอาจปรับตัวลดลงราว 5-15% ภายใน 20-50 วันแรก เนื่องจากนักลงทุนต้องการเวลาในการประเมินสถานการณ์
“โดยเฉลี่ยแล้ว ตลาดหุ้นจะใช้เวลาประมาณ 19 วันในการปรับตัวลงจากจุดสูงสุดสู่จุดต่ำสุด และหลังจากนั้นจะใช้เวลาอีกราว 42 วันในการฟื้นตัวกลับสู่ระดับเดิม”
ดังนั้น โดยรวมแล้วสถานการณ์มักจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติภายในเวลาประมาณ 60 วัน หรือ 2 เดือน InnovestX จึงแนะนำให้นักลงทุนใช้ความอดทนและเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงในระยะสั้น
จับตา ‘ราคาน้ำมัน-เงินเฟ้อ’ ความเสี่ยงที่ต่างจากสงครามครั้งก่อน
คุณสิทธิชัยชี้ว่า ความแตกต่างที่สำคัญของความขัดแย้งในตะวันออกกลางเมื่อเทียบกับสมรภูมิอื่น คือผลกระทบโดยตรงต่อ ราคาน้ำมัน ซึ่งมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นทันที และจะกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ซ้ำเติมปัญหา อัตราเงินเฟ้อโลก ที่ยังอยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ Risk Premium (ส่วนชดเชยความเสี่ยง) ของการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามสถานการณ์เช่นกัน
เปิดกลยุทธ์จัดพอร์ต ส่อง 6 สินทรัพย์น่าสนใจ รับมือความไม่แน่นอน
InnovestX ได้ให้คำแนะนำการลงทุนที่น่าสนใจใน 6 สินทรัพย์ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนนี้:
- ทองคำ: ได้รับประโยชน์ทั้งจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและสถานการณ์ความขัดแย้ง ถือเป็นสินทรัพย์ที่ดีที่สุดในช่วงสงคราม แม้ไม่มีสงคราม ราคาทองคำก็มีแนวโน้มเคลื่อนไหวที่ประมาณ 3,000 ต่อทรอยออนซ์
- น้ำมัน: ราคาจะมีการเก็งกำไรล่วงหน้าเกี่ยวกับการคลี่คลายของสงคราม หากสงครามยืดเยื้อ มีโอกาสที่ราคาน้ำมันจะปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันมีความเชื่อมโยงสูงกับเศรษฐกิจของประเทศในตะวันออกกลางอย่างกาตาร์และซาอุดีอาระเบีย
- หลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มสายการบิน: ตะวันออกกลางเป็นศูนย์กลางการบินของโลก การสู้รบจะส่งผลให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของธุรกิจสายการบิน และยังกระทบต่อการเดินทาง ทำให้การลงทุนในกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูง
- ลงทุนในกลุ่ม Aerospace and Defense (ITA) and Nuclear: เป็นตัวแทนของกลุ่มธุรกิจผลิตและขายอาวุธ ซึ่งจะได้รับประโยชน์หากสถานการณ์ความขัดแย้งยืดเยื้อ
- ลงทุนในหุ้นกลุ่มระบบนำวิถีการสู้รบ: เช่น โดรน และขีปนาวุธ โดยมีบริษัทอย่าง RTX และ L3Harris ที่จะได้รับประโยชน์หากสงครามดำเนินไปอย่างยาวนาน
- ลงทุนหุ้นกลุ่ม Defensive: เช่น Phillip Morris ซึ่งมีความปลอดภัยสูงกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่น ๆ อย่างค้าปลีก อาหาร และเครื่องดื่ม
ภาพรวมตลาดหุ้น: สหรัฐฯ ไม่สะท้าน แต่หุ้นไทยยังเปราะบาง
สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ แทบไม่ปรับตัวลดลงหลังเกิดเหตุการณ์ปะทะ เนื่องจากนักลงทุนมองว่าไม่ใช่เรื่องใหม่และยังคงจับตาประเด็นอื่นที่สำคัญกว่า เช่น ตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ออกมาดีเกินคาด และผลประกอบการที่แข็งแกร่งของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
ในทางกลับกัน ตลาดหุ้นไทยยังคงเปราะบางและขาดความเชื่อมั่น จาก 2 ปัจจัยกดดันหลัก ได้แก่
- ปัจจัยการเมืองในประเทศ ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงและประเมินสถานการณ์ได้ยาก
- เงินทุนไหลออก จากการที่นักลงทุนไทยนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังมองว่าตลาดหุ้นไทยไม่มีเสน่ห์ดึงดูดเพียงพอ
ส่องอนาคตหุ้นไทย: InnovestX มองเป็น ‘Bear Market สุดเซ็กซี่’ รอสัญญาณฟื้นตัวครึ่งปีหลัง
แม้ภาพรวมยังดูไม่สดใส แต่ InnovestX ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มดีขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน ทั้งการได้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีนโยบายการเงินที่สอดคล้องกับภาครัฐมากขึ้น, การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป
สิทธิชัย ทิ้งท้ายมุมมองที่น่าสนใจว่า แม้มูลค่า (Valuation) หุ้นไทยจะถูก แต่ก็ยังไม่น่าสนใจพอเมื่อเทียบกับการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามหรือมาเลเซียที่โตระดับ 5-6% ต่อปี ขณะที่ไทยโตเพียง 2%
“ตลาดหุ้นไทยตอนนี้ยังไม่ใช่ Bull Market แต่เป็น Bear Market ที่ผอมลงและมีความเซ็กซี่มากขึ้น” ซึ่งหมายความว่าแม้จะยังอยู่ในตลาดหมี แต่ความเสี่ยงลดลงและเริ่มมีความน่าสนใจสำหรับการเข้าลงทุนเพื่อรอวันฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นในอนาคต”
ภาพ: Andy.LIU / Shuttersock