ภัยคุกคามมัลแวร์เป็นปัญหาใหญ่ที่นิ่งนอนใจไม่ได้อีกต่อไป เมื่อภาคอุตสาหกรรมธุรกิจต่างเร่งปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล ล่าสุด (18 ก.ย.) ไมโครซอฟต์ เอเชีย เผยผลการศึกษาจากรายงานสรุปสถานการณ์ความปลอดภัยเชิงดิจิทัล Security Intelligence Report (SIR) ฉบับที่ 22 พบว่าประเทศไทยติดอันดับที่ 9 ของประเทศที่เผชิญความเสี่ยงจากภัยคุกคามมัลแวร์มากที่สุดจาก 21 ประเทศในเอเชีย ขณะที่บังกลาเทศมีอัตราการตรวจพบมัลแวร์สูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง
โดยในไตรมาสแรกของปี 2560 ตรวจพบมัลแวร์ 20.2% ในเครื่องคอมพิวเตอร์กลุ่มตัวอย่างที่ใช้โปรแกรมรักษาความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ของไมโครซอฟต์ในไทย ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับโลกที่ 9% ถึงกว่าเท่าตัว
รายงานดังกล่าวยังระบุว่า ประเภทของมัลแวร์ที่ตรวจพบมากที่สุดในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาคือ มัลแวร์โทรจัน (Trojan) คิดเป็น 13% ในเครื่องคอมพิวเตอร์กลุ่มตัวอย่าง เพิ่มขึ้นจาก 12.11% ในเดือนกุมภาพันธ์ รองลงมาคือไวรัส (Virus) 1.66% และหนอน (Worm) 1.54% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม นับว่าอัตราการตรวจพบมัลแวร์ในประเทศไทยได้ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2559 โดยคิดเป็นอัตราที่ลดลง 16.20% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตแรนซัมแวร์หรือมัลแวร์เรียกค่าไถ่ WannaCrypt และ Peyta ในช่วงครึ่งแรกของปี 2017 มากนัก เมื่อเทียบกับประเทศในแถบยุโรปที่ตกเป็นเป้าหมายหลักในการโจมตี แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ทำให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความเสียหายรุนแรงที่กระทบต่อองค์กรธุรกิจ ตลอดจนถึงการใช้ชีวิตประจำวันของคนทั่วไป โดยเกาหลีใต้เป็นประเทศที่ตรวจพบอัตรามัลแวร์เรียกค่าไถ่สูงสุดเป็นอันดับสองของโลกในช่วงเวลานั้น
ไมโครซอฟต์ยังเผยว่า ปัจจุบันอาชญากรไซเบอร์จะเลือกเป้าหมายการโจมตีโดยพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น จีดีพีของประเทศ อายุเฉลี่ยของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ และวิธีจ่ายเงินค่าไถ่ที่รองรับในแต่ละประเทศ ส่วนภาษาที่ใช้ในแต่ละภูมิภาคก็อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีส่วนสำคัญ เนื่องจากโอกาสในการจู่โจมสำเร็จมักขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้ข้อความโน้มน้าวให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์เปิดไฟล์ที่มีมัลแวร์แฝงอยู่
ย้อนอ่านบทความเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์และวิธีรับมือสำหรับภาคธุรกิจได้ที่ thestandard.co/news-tech-thai-cyber-security
อ้างอิง:
- ไมโครซอฟต์ ประเทศไทย
- อ่านรายงานเพิ่มเติมได้ที่ www.microsoft.com/en-us/security/intelligence-report
