×

ข้อพิจารณาทางกฎหมายที่สำคัญสำหรับการควบรวมกิจการ

04.08.2022
  • LOADING...
กฎหมายการควบรวมกิจการ

ในปัจจุบันการควบรวมกิจการ หรือ Mergers & Acquisitions (M&A) มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นทุกปี และคาดว่าจะยังคงมีธุรกรรมควบรวมกิจการอย่างต่อเนื่องและหลากหลายในทุกภาคอุตสาหกรรม ซึ่งในการดำเนินการควบรวมกิจการนั้น นอกจากจะต้องพิจารณาในด้านธุรกิจ ทางการเงิน และทางภาษีแล้ว ข้อพิจารณาทางด้านกฎหมายก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน 

 

ในประเทศไทย การควบรวมกิจการแบ่งได้ทั้งหมดเป็น 3 รูปแบบหลักๆ คือ

 

1. การซื้อหุ้นของกิจการ 

วิธีนี้คือการที่ผู้ซื้อเข้าไปซื้อหุ้นกิจการอีกแห่งหนึ่งทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งอาจทำได้โดยวิธีการใช้เงินซื้อ หรือใช้วิธีการแลกหุ้น (Share Swap) เช่น กรณีที่ผู้ซื้อเป็นบริษัท สามารถออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อแลกกับหุ้นเดิมที่ถือโดยผู้ถือหุ้นของกิจการก็ได้

 

2. การซื้อทรัพย์สินหรือซื้อกิจการ 

วิธีนี้คือการที่ผู้ซื้อเข้าซื้อทรัพย์สินบางอย่าง หรือซื้อกิจการของบริษัทผู้ขาย เช่น ซื้อโรงงานหรือสายการผลิต รวมถึงทรัพย์สินอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่ได้ซื้อหุ้นของกิจการ

 

3. การควบบริษัทตามกฎหมาย (Amalgamation)

วิธีนี้เป็นการควบรวมกิจการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 (Amalgamation) คือเป็นกรณีที่บริษัทตั้งแต่สองบริษัทขึ้นไปควบเข้ากัน เป็นผลให้บริษัทที่ควบเข้ากันนั้นหมดสภาพการเป็นนิติบุคคล และเกิดเป็นบริษัทใหม่ ซึ่งได้ไปทั้งสิทธิและบรรดาความรับผิดที่มีอยู่แก่บริษัทเดิม

 

แต่ละรูปแบบจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นประเด็นทางกฎหมาย ประเด็นทางภาษี หรือความต้องการทางธุรกิจ ซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายต้องนำมาพิจารณาเพื่อตัดสินใจดำเนินการ และเมื่อพิจารณารูปแบบของการควบรวมกิจการแล้ว ที่ต้องพิจารณาต่อไปคือขั้นตอนการดำเนินการ โดยหลักกระบวนการที่สำคัญจะแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ คือ

 

ระยะที่ 1 – ช่วงการวางแผนและการวางโครงสร้างธุรกรรม (Structuring / Pre-deal Arrangement)

ในช่วงนี้ผู้ซื้อและผู้ขายจะวางแผนการ รวมถึงวางโครงสร้างสำหรับการเข้าทำธุรกรรม ซึ่งการซื้อขายอาจใช้วิธีเปิดประมูล (Bidding Process) หรือการเจรจาเป็นรายๆ (Bilateral Process) ในช่วงนี้เอกสารทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องอาจจะมีการทำสัญญารักษาความลับ หรือในบางกรณีอาจมีข้อกำหนดเรื่อง Exclusivity เช่น กำหนดให้ฝ่ายผู้ขายต้องให้สิทธิฝ่ายผู้ซื้อแต่เพียงผู้เดียวในการเข้าเจรจาทำธุรกรรม เป็นต้น

 

ระยะที่ 2 – ช่วงการตรวจสอบสถานะของกิจการ (Due Diligence)

ช่วงนี้จะเป็นการดำเนินการเพื่อประเมินความเสี่ยงทางด้านการลงทุนของผู้ซื้อ โดยผลที่ได้จากการตรวจสอบสถานะของกิจการ จะนำไปสู่การกำหนดราคาซื้อขาย การวางโครงสร้างธุรกรรมที่เหมาะสม และการกำหนดเงื่อนไขและข้อตกลงอื่นๆ ในสัญญาซื้อขาย ซึ่งสำหรับการตรวจสอบสถานะของกิจการในด้านการกฎหมาย (Legal Due Diligence) หลักๆ จะครอบคลุมเรื่องดังต่อไปนี้

 

  1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับองค์กรธุรกิจ หรือเอกสารสำคัญทางทะเบียนของบริษัท (Corporate Organization Matters)
  2. ทรัพย์สินของบริษัท (Assets)
  3. ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Properties)
  4. การดำเนินธุรกิจตามกฎหมาย (Regulatory Compliance)
  5. ลูกจ้าง (Labor)
  6. ประกันภัย (Insurance)
  7. สัญญาที่สำคัญ (Significant Contracts) และ
  8. คดีความ (Litigation)

 

ระยะที่ 3 – ช่วงการเจรจาและเข้าทำสัญญา (Transaction Documents)

ในช่วงนี้ผู้ซื้อและผู้ขายจะเข้าเจรจาเพื่อทำสัญญาที่เกี่ยวข้อง โดยสัญญาที่สำคัญสำหรับการควบรวมกิจการ คือ

 

  1. สัญญาซื้อขาย เช่น สัญญาซื้อขายหุ้น (Share Purchase Agreement) หรือสัญญาซื้อขายทรัพย์สินหรือกิจการ (Asset or Business Purchase Agreement) เพื่อกำหนดข้อตกลงเกี่ยวกับการซื้อขาย รวมถึงเงื่อนไขก่อนการซื้อขายที่ต้องดำเนินการ (Conditions Precedent) ราคาซื้อขาย (Pricing) คำรับรองและคำยืนยันของคู่สัญญา (Representations and Warranties) และข้อกำหนดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
  2. สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น (Shareholders’ Agreement) เช่น ในกรณีที่ผู้ขายขายหุ้นบางส่วน จึงอาจมีการทำสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นกับผู้ซื้อ เพื่อวางข้อกำหนดเกี่ยวกับการบริหารจัดการกิจการ หรือจัดการเกี่ยวกับหุ้นในกิจการ
  3. สัญญาอื่นๆ (Ancillary Agreement) เช่น สัญญาว่าจ้างผู้บริหาร สัญญาเช่าที่ดิน และสัญญาให้สิทธิการใช้ทรัพย์สินทางปัญญา

 

ระยะที่ 4 – ช่วงการดำเนินการทำธุรกรรมซื้อขาย (Closing)

เมื่อผู้ซื้อและผู้ขายตกลงเข้าทำสัญญาซื้อขายแล้ว แต่ละฝ่ายจะมีหน้าที่ไปดำเนินการตามที่สัญญากำหนด และเมื่อเงื่อนไขต่างๆ ครบถ้วน ก็จะเข้าสู่กระบวนการซื้อขาย โดยในส่วนนี้ ฝ่ายผู้ซื้อจะมีหน้าที่ชำระเงิน และฝ่ายผู้ขายจะมีหน้าที่ส่งมอบหุ้น หรือทรัพย์สินตามที่กำหนด และหากมีการจดทะเบียนต่างๆ ฝ่ายที่มีหน้าที่ก็จะต้องไปดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การดำเนินการ Closing ควรมีการทำเช็กลิสต์ที่ครอบคลุมการดำเนินการที่เกี่ยวข้องตามข้อกำหนดต่างๆ ของสัญญา เพื่อให้การ Closing สามารถดำเนินไปได้อย่างไม่มีข้อติดขัด

 

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นทางกฎหมายอื่นๆ ที่ต้องคำนึงถึง ซึ่งอาจต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป เช่น หากในกรณีที่ผู้ซื้อ ผู้ขาย หรือตัวกิจการเอง เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก็จะต้องมีการพิจารณากฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายหลักทรัพย์และกฎหมายบริษัทมหาชน หรือหากอยู่ภายใต้กฎหมายพิเศษ เช่น เป็นธนาคารพาณิชย์ เป็นบริษัทประกัน หรือเป็นบริษัทหลักทรัพย์ กฎหมายและกฎเกณฑ์เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับบุคคลนั้นๆ ก็ต้องนำมาพิจารณาด้วยเช่นเดียวกัน

 

บทสรุป

ในการควบรวมกิจการ มีประเด็นทางกฎหมายที่จะต้องพิจารณามากมาย ซึ่งต้องคำนึงถึงตั้งแต่เริ่มต้นการทำธุรกรรมไปจนถึงการดำเนินการซื้อขาย ในบางครั้งอาจต้องคำนึงไปถึงข้อปฏิบัติหลังการซื้อขาย ดังนั้น ประเด็นเหล่านี้จึงควรต้องมีการพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วน ร่วมกับประเด็นทางด้านการเงิน ทางภาษี และทางธุรกิจ และกำหนดไว้ในข้อสัญญา เพื่อให้การดำเนินการสามารถเป็นไปได้อย่างเรียบร้อยตามความประสงค์ของคู่สัญญา

 

เกี่ยวกับทีม Integrated Due Diligence ของเคพีเอ็มจี ประเทศไทย

ทีมงาน Integrated Due Diligence ของเคพีเอ็มจี ประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญหลากสาขาวิชาชีพ ซึ่งให้บริการที่ตรงและครอบคลุมทุกความต้องการด้านการตรวจสอบสถานะของกิจการ (Due Diligence) ด้วยการทำงานอย่างใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพของทีมที่มีทักษะอันหลากหลาย โดยมีการตรวจสอบสถานะทางการเงิน ภาษี และกฎหมาย เป็นหัวใจหลัก และยังมีทีมงานที่สามารถให้บริการสำหรับธุรกรรมของท่าน ทั้งที่เกี่ยวกับทางด้านความเสี่ยงและราคา ภายใต้ความเข้าใจในความสำคัญของการสร้างมูลค่าผ่านกลไกทั้งหมดที่ได้กล่าวมา


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X