Mercedes-Benz ได้ลงนามกับกรมสรรพสามิตเพื่อเข้าร่วมมาตรการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยเริ่มผลิต ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ ซึ่งคาดว่าอาจเป็นรุ่น EQS 500 ที่ได้ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ว่าเป็นรุ่นแรกที่ประกอบนอกเยอรมนี
ผู้ผลิตรถยนต์หรูได้รับสิทธิลดอากรศุลกากรและลดภาษีสรรพสามิต ขึ้นอยู่กับขนาดความจุของแบตเตอรี่ สำหรับการนำเข้ารถยนต์แบบพลังงานไฟฟ้า (Electric Vehicle: BEV) ในปี 2565-2566 และผลิตรถยนต์ BEV ในปี 2565-2568 จากการลงนามในครั้งนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- Tesla มาที่ประเทศไทยแล้ว! เคาะราคาขาย Model Y เริ่ม 1.959 ล้านบาท และ Model 3 เริ่ม 1.759 ล้านบาท เปิดให้จองวันนี้ได้เลย!
- การมีรถยนต์ไฟฟ้าพร้อมส่งมอบทำให้แบรนด์จีนได้เปรียบเหนือแบรนด์ ญี่ปุ่น จุดติด ‘BYD’ ให้เร่งเครื่องในไทย
- Toyota เคาะราคาขาย รถยนต์ไฟฟ้า Toyota bZ4X 1,836,000 บาท เผยเป็นการนำเข้าจากญี่ปุ่น และไทยมีโควตาปีนี้ไม่ถึง 50 คัน
“ปัจจุบันมีผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้นำเข้าลงนามในข้อตกลงกับกรมสรรพสามิตแล้วจำนวน 12 ราย แบ่งเป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้นำเข้ารถยนต์ จำนวน 9 ราย และรถจักรยานยนต์ จำนวน 3 ราย” ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าว
รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า ข้อตกลงดังกล่าวยังผูกมัดให้ Mercedes-Benz ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆ ในประเทศไทย ซึ่งน่าจะอยู่ที่โรงงานในจังหวัดสมุทรปราการ แม้ว่าอธิบดีกรมสรรพสามิตจะไม่ได้ระบุว่ารถยนต์รุ่นใด หรือจะเริ่มการผลิตเมื่อใด แต่โรงงานแห่งนี้มีการผลิตรถยนต์อยู่แล้ว และกำลังเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าด้วย
ในงานมอเตอร์โชว์ครั้งล่าสุด Mercedes-Benz ได้จัดแสดงรถรุ่น EQS 500 4MATIC AMG Premium ซึ่ง โรลันด์ โฟลเกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า เป็นยนตรกรรมไฟฟ้า 100% ที่ประกอบในประเทศไทย ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่ผลิตนอกประเทศเยอรมนี
Mercedes-Benz เป็นแบรนด์ระดับโลกรายล่าสุดที่เข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย อันเป็นสมรภูมิที่แบรนด์จีนกับญี่ปุ่นกำลังแข่งขันกันอยู่ ซึ่งต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา Tesla ได้เปิดจองรถยนต์ไฟฟ้า 2 รุ่น ซึ่งจะส่งมอบภายในไตรมาสแรกของปีหน้า
รัฐบาลได้กล่าวว่าต้องการให้ 30% ของยอดขายรถยนต์เป็นพลังงานไฟฟ้าภายในปี 2573 และเมื่อต้นปีนี้ได้จัดสรรเงินประมาณ 4.3 หมื่นล้านบาทจนถึงปี 2568 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว
ดร.เอกนิติระบุว่า กรมสรรพสามิตได้จ่ายเงินอุดหนุนให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินอุดหนุนตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์แล้ว จำนวน 1 ครั้ง จำนวนรวมทั้งสิ้น 540 คัน คิดเป็นเงินอุดหนุน 81 ล้านบาท
และอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อจ่ายเงินอุดหนุนครั้งที่ 2 อีก 1,297 คัน คิดเป็นเงิน 194,550,000 บาท โดยคาดว่าจะมียอดจองและยอดขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ขอรับสิทธิตามมาตรการฯ ภายในสิ้นปี 2565 รวมกันทั้งสิ้นกว่า 25,000 คัน
อ้างอิง: