×

ศูนย์วิจัยกสิกร ชี้มาตรการช่วยลูกหนี้เฟส 2 ของแบงก์ชาติ กระทบรายได้ธนาคารพาณิชย์ 1,000-2,000 ล้านบาท แต่ช่วยลูกหนี้ลดภาระได้

โดย THE STANDARD TEAM
23.06.2020
  • LOADING...

จากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 2 ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเน้นดูแลเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้บุคคลรายย่อย ของสถาบันการเงินทั้งธนาคารพาณิชย์ SFIs และผู้ประกอบการน็อนแบงก์ โดยมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยใน 2 ส่วน ได้แก่ 

 

  1. การ ‘ลดเพดานดอกเบี้ย’ สำหรับสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ เริ่มมีผลวันที่ 1 สิงหาคม 2563 และ 

 

  1. การ ‘ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม’ สำหรับลูกหนี้สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ลงทะเบียนเข้าโครงการเพื่อรับความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินระหว่าง 1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2563

 

นอกจากนี้มาตรการเฟส 2 ยังเน้นไปที่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ระหว่างสถาบันการเงินและลูกหนี้ โดยเฉพาะลูกหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งมักจะมีภาระผ่อนต่อเดือนสูง เพื่อให้ลูกหนี้แต่ละรายมีภาระผ่อนต่อเดือนน้อยลง ระยะเวลาผ่อนนานขึ้น และมีความสามารถในการชำระหนี้ที่สอดคล้องกับกระแสรายได้ของตนเองมากขึ้น 

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์ว่าในมุมของลูกหนี้ มาตรการเฟส 2 จะเปิดโอกาสให้ลูกหนี้สามารถเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดในการลดภาระทางการเงิน และเหมาะสมกับความสามารถในการชำระคืนหนี้ของตน โดยลูกหนี้ที่สามารถเข้าร่วมโครงการฯ ครอบคลุมทั้งลูกหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการเดิม และลูกหนี้ที่ไม่เคยเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลืออื่นๆ มาก่อน อย่างไรก็ดีเงื่อนไขสำคัญสำหรับลูกหนี้ที่จะได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการเฟส 2 ก็คือ จะต้องเป็นลูกหนี้ปกติ ณ วันที่ 1 มีนาคม 2563 (ไม่เป็นลูกหนี้ NPLs หรือค้างชำระหนี้เกิน 3 เดือน) และต้องมีความสามารถในการผ่อนชำระคืนหนี้ตามภาระหนี้ใหม่ภายใต้มาตรการเฟส 2

 

สำหรับผลต่อธนาคารพาณิชย์ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยตามมาตรการเฟส 2 จะมีผลกระทบผ่าน 2 ช่องทางต่อรายได้ดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามเพดานใหม่สำหรับสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่เป็นวงเงินหมุนเวียน และจะต้องปรับลดดอกเบี้ยลงเพิ่มเติมให้กับกลุ่มลูกหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่เข้าร่วมมาตรการเฟส 2 ซึ่งแปลงหนี้เป็นสินเชื่อระยะยาว โดยในเบื้องต้นศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ลูกค้ารายย่อยในช่วงไตรมาสที่ 3/63 จะอยู่ที่ประมาณ 1,000-2,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 0.8-1.5% ของรายได้ดอกเบี้ยของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในไตรมาส 3/63 

 

นอกจากนี้ประเด็นที่ต้องติดตามในไตรมาส 3/63 จะเป็นสถานการณ์ของลูกหนี้ที่เข้ารับความช่วยเหลือตามมาตรการเฟสแรกว่า จะสามารถกลับมาผ่อนชำระหนี้คืนได้มาก-น้อยเพียงใด ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ได้ฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ อาจทำให้ลูกหนี้ส่วนใหญ่เลือกที่จะขอขยายเวลาการชำระหนี้ หรือพักชำระหนี้ต่อ ซึ่งตัวแปรดังกล่าวจะทำให้ธนาคารพาณิชย์ ตลอดจนสถาบันการเงินอื่นๆ ทั้งสถาบันการเงินเฉพาะกิจและน็อนแบงก์ ต้องวางแผนเพื่อช่วยเหลือลูกค้า ควบคู่ไปกับการปรับกลยุทธ์เพื่อบรรเทาแรงกดดันต่อผลประกอบการไปในเวลาเดียวกัน

 

โดยสรุป แม้ระบบธนาคารพาณิชย์จะเผชิญโจทย์ท้าทายต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ทั้งจากปัญหาเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อสถานะของลูกค้า รวมถึงผลจากการเดินหน้ามาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือลูกค้าตามแนวทางของทางการ อย่างไรก็ดี ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งมีการวางกลยุทธ์/ปรับแผนการทำธุรกิจอย่างรอบคอบ มีการบริหารความเสี่ยงที่ดี ประกอบกับมีฐานเงินกองทุนและเงินสำรองในระดับสูง โดย ณ สิ้นเดือนเมษายน 2563 ธนาคารพาณิชย์ไทยมีเงินกองทุนทั้งสิ้น 2,616,162 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ 18.9% ซึ่งนับว่ามีความเข้มแข็งกว่าเกณฑ์เงินกองทุนที่ต้องดำรงขั้นต่ำของ ธปท. ที่ 11.0% ขณะที่สัดส่วนสำรองที่มีอยู่ต่อ NPLs อยู่ที่ 140% ซึ่งเพียงที่จะรองรับความเสี่ยงต่างๆ ในระยะที่เหลือของปีได้

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising