เราเคยคุยกับ โปเต้-ปิยะพงษ์ เล็กประยูร (ร้องนำ), ปาล์ม-ปวีร์ ปรีชาวีรกุล (คีย์บอร์ด), กัน-กันตพิชญ์ ยาวิราช (เบสและกลอง) และ พัด-วรภัทร วงศ์สุคนธ์ (กีตาร์) 4 หนุ่มวง MEAN ครั้งแรกเมื่อ 1 ปีที่แล้ว โดยพวกเขาลบภาพกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่โชคดีได้เข้ามาทำงานกับค่ายเพลงรักแห่งประเทศไทยอย่าง LOVEiS ว่าจริงๆ แล้วพวกเขามุ่งมั่นกับความฝันถึงขนาดยอม ‘ทุบหม้อข้าว’ ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยทำอยู่เพื่อมาทุ่มเทให้กับการสร้างสรรค์ผลงานเพลงอย่างเดียวเป็นเวลาหลายปี
อ่านบทสัมภาษณ์วง MEAN ครั้งแรกได้ที่ thestandard.co/culture-music-mean-band
ครั้งนี้ THE STANDARD POP มีโอกาสพูดคุยกับพวกเขาอีกครั้ง หลังจากปล่อยซิงเกิลที่ 3 อย่างเพลง สตรอง และซิงเกิลล่าสุดอย่างเพลง เป็นอดีต ที่เพิ่งปล่อยออกมาแบบสดๆ ร้อนๆ
ก่อนเริ่มบทสนทนา พัดเปรียบเทียบการทำงานของพวกเขาขึ้นมาว่า “ครั้งที่แล้วที่คุยกัน พวกผมคือวง MEAN เวอร์ชันทดลอง Beta1 ส่วนตอนนี้เป็นวง MEAN Beta2 ที่อัปเครื่องขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง” สมาชิกคนอื่นๆ หัวเราะเห็นด้วยกันอย่างสนุกสนาน จนเราคิดไปว่าเส้นทางสายดนตรีที่พวกเขาเลือกเดินกำลังไปได้สวยแล้วจริงๆ
แต่สิ่งที่เราคาดไม่ถึงคือภายใต้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่พวกเราเห็น พวกเขาได้ซ่อน ‘ความกดดัน’ ที่ทำให้น้ำตาลูกผู้ชายต้องหล่นลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า บททดสอบเพื่อพิสูจน์ตัวเองในการเป็นศิลปินที่แท้จริง รวมทั้งทัศนคติที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจากสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา
และยังมีอีกหลายสิ่งที่รอให้พวกเขาพิสูจน์ความท้าทาย เพื่อที่จะอัปเกรดตัวเองกลายเป็นวง MEAN เวอร์ชันสมบูรณ์แบบให้ได้ในอนาคต
เพลง สตรอง
วง MEAN Beta 2 เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงไหน
ปาล์ม: ตั้งแต่เพลง ตัวแถม ครับ ตอนเพลง อ่อนแอก็แพ้ไป กับ หมายความว่าอะไร จะหนักไปทางกีตาร์โปร่ง ฟังง่ายแบบ Easy Listening พอเพลง ตัวแถม ที่พี่ไก่-สุธี แสงเสรีชน เข้ามาเป็นโปรดิวเซอร์ช่วยดูแบบเต็มๆ เขาบอกว่าพวกเราเป็นแบนด์ไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ลองผลักตัวเองออกมาให้มากกว่านี้ ซึ่งตอนแรกเราไม่กล้าผลักตัวเองออกมาเท่าไร แต่พอมีพี่ไก่เข้ามา เรารู้ว่าเล่นไปได้เลย ถ้าอันไหนเกินไปเดี๋ยวเขาจะตัดขอบกลับมาให้เอง
ตอนคุยกันครั้งที่แล้วจะมีช่วงที่เอาเพลงไปให้พี่ไก่ดู แต่ทางวงจะมีความคิดเห็นที่ไม่ค่อยตรงกันเท่าไร ตอนนี้ยังมีความรู้สึกแบบนั้นเหลืออยู่บ้างไหม
พัด: พอทำงานด้วยกันมากขึ้น ได้พี่เขามาช่วยดูแบบเต็มตัว มันยิ่งเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ครับว่าพี่เขาเป็นตัวจริง แล้วเขาไม่ใช่คนที่พูดเยอะ เขาใช้วิธีทำให้เห็นไปเลย แล้วทุกผลงาน ทุกการตัดสินใจของเขา มันก็ตอบความสงสัยของพวกเราได้ทั้งหมด แล้วพี่ไก่เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่จำกัดกรอบของพวกเราด้วย เขาเปิดโอกาสให้พวกเราถาม พูดคุย และเสนอความคิดเห็นได้ตลอด
ปาล์ม: ช่วง 2 เพลงแรก พี่ไก่เป็นเหมือนส่วนเติมเต็ม แต่ตั้งแต่เพลง สตรอง เขาเป็นสิ่งที่เราขาดไม่ได้ไปแล้ว เป็นออกซิเจนของวง จนเพลงต่อๆ ไปเริ่มคิดถึงขนาดว่าทำเพลงส่งไปให้เขาก่อนแล้วกัน เดี๋ยวเขาก็แก้กลับมาให้ดีขึ้นเอง (หัวเราะ)
ส่วนเรื่องความดื้อตามประสาพวกเราก็ยังมีอยู่ แต่ต้องขอบคุณทั้งทางค่าย LOVEiS และพี่ไก่มากๆ แทนที่พวกเราดื้อแล้วจะต้องแตกกัน แต่กลายเป็นว่าพี่ๆ เขาเข้าใจเรามากขึ้น อย่างพี่บอย โกสิยพงษ์ เองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เข้าใจเรามากขึ้นด้วย เพราะก่อนหน้านี้ก็มีหลายครั้งที่ความคิดเห็นไม่ตรงกับพี่เขา แต่พอเริ่มปรับเข้าหากัน การทำงานก็ราบรื่นมากขึ้น
ที่เห็นชัดมากคือๆ เพลง สตรอง ที่ตอนแรกทางค่ายรู้สึกว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะปล่อยเพลงนี้ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งสกิลของพวกเรา ทั้งการอยากให้คนจำเสียงของพี่โปเต้ในฐานะนักร้องนำได้ ให้ได้โชว์พลังมากกว่านี้ก่อน จริงๆ เพลง สตรอง ควรปล่อยเป็นเพลงที่ 8 หรือ 9 ด้วยซ้ำ ซึ่งถ้ากลับมาคิดจริงๆ อย่างตอนเพลง ตัวแถม ที่พวกเราไม่มั่นใจเท่าไร แต่สุดท้ายมันก็ไปไกลกว่าที่เราคิดมาก แค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าผู้ใหญ่เขามองขาดกว่าพวกเราจริงๆ แต่ก็ยังเป็นความดื้อของเด็กโง่ๆ เหมือนเดิมที่พยายามทู่ซี้บอกว่าพวกเราชอบเพลงนี้จริงๆ แล้วเขาก็ยอมร่นเวลาให้จนได้ปล่อยในเพลงที่ 3 เลย
ทั้งๆ ที่ก็รู้กันแล้วว่าผู้ใหญ่มองภาพของวงการเพลงขาดมากกว่า แต่ทำไมถึงยังดื้ออยากนำเสนอตามแบบที่เราคิดมากกว่า
พัด: ส่วนตัวผมเองที่เขียนเพลง สตรอง ขึ้นมาเพราะคิดว่าวง MEAN มีเพลงเศร้าและอกหักเยอะแล้ว รู้สึกว่าถ้า MEAN เป็นคน มันจะเป็นคนที่เศร้าอะไรตลอดเวลาขนาดนั้น (หัวเราะ) เลยอยากให้เพลง สตรอง เป็นการหักล้างความรู้สึกว่าเรามีช่วงเวลาที่อ่อนแอได้ แต่สักวันชีวิตจะนำพาคุณไปสู่สิ่งใหม่ๆ ที่ทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้
ปาล์ม: ผมว่าส่วนหนึ่งเพราะพอเราทำเพลงไปนานๆ แล้วเริ่มหลงทาง มันมีเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้คิดเต็มไปหมดจนเราลืมว่าเราก้าวเข้ามาตรงนี้เพราะอะไร พื้นฐานของทุกคนที่อยากทำตรงนี้เพราะอยากสร้างแรงบันดาลใจ เหมือนที่พี่ๆ ศิลปินที่เป็นไอดอลของเราเคยส่งแรงบันดาลใจมาแล้วเราอยากส่งต่อไปอีกที เพลง สตรอง จึงเป็นเพลงที่เราทำเพราะรู้สึกว่าจะช่วยพาเราไปสู่ความรู้สึกในวันแรกที่เริ่มทำเพลงกันได้
พัด: มันเป็นเพลงที่พวกเราได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่างการทะลุข้อจำกัดเดิมๆ ที่เคยทำทั้งในแง่เนื้อหาและดนตรี
ปาล์ม: อย่างของพัด เพลงแรกที่ทำจริงๆ ตั้งแต่ 4 ปีที่แล้วเขาแรปด้วยนะครับ แต่ก็หาย เลิกแรปไปเลย ไลน์เบสของกันที่เป็นคนเล่นสแลปได้ดีมาก แต่เพลงก่อนหน้านี้ก็แทบไม่มีสิ่งนี้อยู่ในเพลง เปียโนของผมก็ได้มีบทบาทมากขึ้น หรือของพี่โปเต้ก็สำคัญมาก เพราะเขาเป็นนักแต่งเพลงมาก่อน แต่ 3 เพลงของวง MEAN ก่อนหน้านี้เขาแทบไม่ได้แต่งเพลงเลย จนมาเพลง สตรอง นี่ล่ะที่เป็นเพลงแรกที่เขาได้กลับมาแต่งจริงๆ
โปเต้: มันเป็นสิ่งที่ผมอยากพิสูจน์ตัวเองเหมือนกันนะ อย่างที่ปาล์มบอก ผมเคยเขียนเพลงให้คนอื่นมา แต่ไม่เคยทำเพลงให้ตัวเองร้องเลย ซึ่งการแต่งเพลงแล้วไม่ค่อยประสบความสำเร็จหรือถูกปฏิเสธบ่อยๆ มันเริ่มทำให้มีความรู้สึกว่าเราไม่กล้านำเสนองานของเราให้ใคร เพลง สตรอง ก็แอบลุ้นมากเหมือนกัน แต่ไม่เคยบอกน้องๆ นะว่ามันคือการพิสูจน์ตัวเองของผม พอเพลงนี้ก็ได้ลองเริ่มแต่งทำนองขึ้นมา แล้วพัดเห็นว่ามันฟังแล้วติดหู น่าจะเอาไปพัฒนาต่อได้ มันก็เป็นการบอกตัวเองได้อีกครั้งว่า เฮ้ย กูยังแต่งเพลงได้อยู่ว่ะ
ช่วงที่พัดเคยแรปแล้วไม่ประสบความสำเร็จ มันกลับมาทำลายความมั่นใจของตัวเองมากขนาดไหน
พัด: โห โดนมาเยอะเหมือนกันนะครับ เพราะผมชอบแรปเวลาไปเล่นสดที่ต่างๆ
ปาล์ม: มีอันหนึ่งที่พีกมาก เขาคอมเมนต์ว่า ชอบวง MEAN มากเลย แต่ถ้าไม่มีแรปจะดีกว่านี้ ผมไปเห็นในทวิตเตอร์แล้วก็รีบส่งให้เพื่อนด้วยความรักและห่วงใย (หัวเราะ)
พัด: แต่ความจริงผมต้องขอบคุณฟีดแบ็กเหล่านั้นนะที่ทำให้รู้สึกอยากผลักดันตัวเองไปสมัคร Rap is Now แต่ไม่ติด จนไปเข้ารอบ Show Me The Money Thailand ถึงรอบ Ring of Fire ที่ทำให้เริ่มเห็นว่าอย่างน้อยก็มีคนมองเห็นในสิ่งที่เราทำอยู่ แล้วก็รู้สึกว่าอยากพิสูจน์มันจริงๆ อีกครั้งด้วยผลงานที่เป็นของตัวเองในฐานะวง MEAN จริงๆ
ปาล์มกับกันมีเรื่องไหนที่สูญเสียความมั่นใจไปแล้วกู้คืนกลับมาได้ใน MEAN Beta2 บ้างหรือเปล่า
ปาล์ม: (คิดนาน) ทั้งหมดเลยครับ ทุกวันนี้ก็ยังแก้ไม่ได้เลย คือเรื่องการเป็นศิลปินนี่ล่ะ เพราะที่เคยบอกไปตั้งแต่ครั้งที่แล้วว่าผมคิดจะหยุดไปแล้ว แต่ก็ได้เพื่อนๆ ในวงดึงให้กลับมาอีกครั้ง แล้วพอได้เริ่มทำจริงๆ มันมีหลายอย่างที่ผมรู้สึกว่ามันดีได้มากกว่านี้กับตัวเอง แต่ผมยังผ่านไปไม่ได้ เช่น ความรู้สึกที่ว่าการเป็นศิลปินที่แท้จริงคือการต้องแต่งเพลงเองได้ด้วย แต่ผมไม่ได้มีส่วนร่วมตรงนี้เท่าไร ครั้งสุดท้ายที่ผมแต่งเพลงคือตอนเป็นหัวหน้าฝ่ายทำเพลงให้ละครเวทีของคณะวารสารฯ ธรรมศาสตร์ แต่เป็นคนละศาสตร์ที่เขาฟังกันในตลาด แล้วผมไม่มั่นใจว่าจะทำเพลงแบบนี้ได้
แล้วทุกวันนี้เวลาที่วงกำลังเดินไปข้างหน้า ผมจะรู้สึกว่ามันแทบไม่ได้เป็นตัวผมเลยที่ขับเคลื่อน เป็นเพื่อนคนอื่นทั้งหมด เพราะผมเป็นแค่นักดนตรีคนหนึ่งที่มาบันทึกเสียง ออกไปเล่นคอนเสิร์ต ซึ่งตรงนี้มันมีคนเก่งกว่าผมอีกมากมาย เป็นเรื่องที่ทำให้ไม่มั่นใจจนกว่าจะแต่งเพลงออกมาได้จริงๆ
กัน: ผมชอบคุยกับพี่ปาล์มว่าแต่งเพลงออกมาสักทีสิวะพี่ แล้วเขาก็จะบอกกลับมาว่า กูแต่งมาแล้วครึ่งเพลง แล้วกูก็ทิ้ง (หัวเราะ)
ปาล์ม: เคยพยายามแล้ว แต่ยังทำไม่ได้จริงๆ พอถึงจุดหนึ่งที่ไม่มีความมั่นใจก็จะคิดว่าถ้าอย่างนั้นเราไปโฟกัสในสิ่งที่เราทำได้ดีดีกว่า เช่น คิดไลน์ดนตรีของเราให้ดี ไปดูภาพรวมของวง เพราะผมจะเป็นคนดูเรื่องมาร์เก็ตติ้งของวงด้วย แต่ยังไงสิ่งที่ต้องพิสูจน์จริงๆ ก็ยังเป็นเรื่องการแต่งเพลงอยู่ดี
พัด: รู้แล้ว เราต้องทำอัลบั้มเว้ย อันนี้พูดจริงๆ เลยนะ แล้วมึงจะไม่เกร็ง เพราะถ้าทำงานในระบบซิงเกิล ทุกซิงเกิลที่ไม่ดังมันคือเราจะไม่มีข้าวกินไป 3 เดือน แต่ถ้าเป็นอัลบั้ม มันจะมีบางเพลงที่เรารู้สึกอิสระกับตัวเองมากขึ้นได้ จริงๆ ที่ค่ายก็ถามๆ อยู่เหมือนกันนะ
ปาล์ม: เออ แต่มันเกร็งจริงๆ ครับ ตอนนี้รู้สึกว่าแค่ทำแต่ละซิงเกิลให้มันดีก็ยากพออยู่แล้ว ก็เลยพยายามโฟกัสตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อน แต่อยากทำนะ เพราะอัลบั้มมันเป็นความฝันของศิลปินทุกคนอยู่แล้วที่จะได้แสดงออกทุกมุมและทุกด้านของเราออกมา
กัน: ของผมก็มีนะ เริ่มกลับมาคิดถึงสมัยเด็กๆ ที่ถ้าไปดูภาพตอนมหาวิทยาลัยแล้วจะเห็นว่ามูฟเมนต์ต่างๆ บนเวทีมันฟ้องเลยว่าเรากำลังสนุกกับสิ่งที่ทำมากๆ แต่พอได้เป็นศิลปินจริงๆ ดันไปคิดหลายๆ เรื่อง กลัวว่าคนจะมองเรายังไง จะดีหรือเปล่า จะเด่นเกินคนอื่นๆ ไป กังวลโน่นนี่นั่น กลายเป็นยืนแข็งทื่อบนเวที ซึ่งไม่ใช่เรื่องนี้นะ ผมอยากดึงพลังอะไรแบบนี้กลับมา คิดถึงตัวเองสมัยเด็กที่มีพลังเยอะกว่านี้เหมือนกัน
ปาล์ม: เรื่องนี้เพิ่งมาคุยเลยครับ โชว์ล่าสุดมันฟ้องมาก เราได้ไปเล่นงานใหญ่มาครั้งหนึ่ง แล้วมีรุ่นพี่ที่เราเคารพเดินมาบอกว่า “เทียบกับวงที่เขามาเล่นต่อกับมึง เหมือนกูดูเทวดากับชาวบ้านเล่นต่อกันน่ะ วงมึงเหมือนอยู่ก้นเหวแล้วเขาอยู่บนฟ้า มึงอยากปีนขึ้นมาไหม มึงต้องปีนขึ้นมาให้ได้นะเว้ย” แล้วพวกเราตึงกันมาก กลับมาดูเทปย้อนหลังที่เล่น เออ ที่พี่เขาพูดมันจริงหมดเลย กลับมาคุยกันว่าเมื่อก่อนเราเคยเดือดดาลกันกว่านี้ ทำไมตอนนี้ทำได้แค่ยืนนิ่งๆ กันวะ
พัด: เหมือนว่าช่วงหลังเราโฟกัสกับงานเบื้องหลังมากกว่า ใช้สมองไปคิดว่าเพลงจะต้องเป็นยังไง งานภาพต้องเป็นยังไง เพลงจะโปรโมตวันไหน ต้องมีคอนเทนต์อะไรบ้าง
กัน: จากเมื่อก่อนที่คิดว่าอยากทำอะไรก็ทำ กลายเป็นคิดว่าทำอย่างนี้แล้วคนจะชอบไหมวะ พอปล่อยเพลงออกมา เข้าไปดูในเพจวง MEAN ได้เลย คอนเทนต์มันจะเยอะมาก เพราะเราต้องคิดงานเบื้องหลังที่จะตามมาอีก เหมือนเอาพลังไปไว้ตรงนั้นทั้งหมด ต้องกลับมาคิดกันใหม่ว่าต่อไปนี้จะพยายามทำให้ดีขึ้นในแง่ออกไปสื่อสารกับคนดูให้ได้มากที่สุด
ตอนแรกเราคิดว่าจะชวนวง MEAN คุยเรื่องก้าวต่อไปที่ดูเหมือนกำลังไปได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่กลายเป็นว่าทุกคนมีปัญหาที่ต้องต่อสู้มากกว่าที่คิดไว้เยอะเลย
พัด: ถ้าเรื่องนี้ต้องคุยกับพี่โปเต้เลยครับ (หัวเราะ)
โปเต้: (คิดนาน) ก็อย่างที่รู้กันว่าวงการนี้มันไม่ง่าย ถึงแม้เราจะมีเพลงหลักสิบล้านวิว มีคนติดตาม ร้องเพลงได้ ก็ไม่ได้หมายความคนทำงานจะมีกินมีใช้หรือมีความสุข เพราะต้องเจอกับสิ่งต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะความกดดันที่สูงขึ้นมากในทุกสเตปที่ต้องก้าวต่อไป เราพยายามคิดให้ดีขึ้นในทุกๆ ครั้ง แล้วมันก็จะมีด่านใหม่ๆ มาท้าทายเราเรื่อยๆ จนในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าเจอกันไปคนละกี่สิบด่านแล้ว
พัด: เขากดดันมากในฐานะฟรอนต์แมนด้วย ถึงขนาดเล่นงานหนึ่งจบ ไปนั่งกินข้าวในร้านชาบูด้วยกัน อยู่ดีๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่ากูไม่ไหวแล้วว่ะ แล้วก็ร้องไห้
โปเต้: ยอมรับว่ามันกดดันมากจริงๆ เพราะรู้สึกว่าเรายังเป็นนักร้องที่ไม่ได้เรื่อง แล้วมันเครียดไปหมด แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้วนะครับ
พัด: พอไปกินข้าวหลังสัมภาษณ์เสร็จเดี๋ยวก็ร้องอีก (หัวเราะ)
ปาล์ม: ร้องทุกคนนะ ผมก็ไปร้องไห้เงียบๆ คนเดียว มันกดดันจริงๆ อย่างเพลง หมายความว่าอะไร ที่ตอนนี้มันขึ้นไป 50 ล้านวิวแล้ว พอทำเพลงต่อไปก็จะมีความรู้สึกว่าจะทำยังไงให้มันมากกว่านั้น แล้วมันไม่มีอะไรบอกได้เลยว่าทำยังไงแล้วจะได้ ไม่มีใครบอกว่าถ้าใส่ความรักเข้าไปตรงนี้แล้วจะเพิ่มได้ 1 ล้านวิว มันไม่มีทางรู้เลย
เพลง หมายความว่าอะไร
พัด: มีช่วงหนึ่งเลยนะที่แต่งเพลงแล้วรู้สึกว่าไม่ดีเลย เช้าวันหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วคิดว่ากูไม่ควรมีชีวิตอยู่ในวงการนี้เลยว่ะ นี่เรากำลังพาให้วงการล่มจมหรือเปล่าวะ ทำไมกูเป็นนักแต่งเพลงที่ห่วยแตกขนาดนี้ แล้วก็นอนมองเพดานนิ่งๆ กับความคิดแบบนั้นอยู่นานเลย
พอเจอความกดดันมากเข้า มีใครเคยคิดถึงขนาดว่าไม่น่าทุบหม้อข้าวตัวเองแล้วมาทำเพลงกันเองแบบนี้เลยบ้างไหม
ปาล์ม: ผมครับ (ตอบทันที) ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำวง MEAN นะครับ แต่คิดว่าจริงๆ เราน่าจะทำงานอื่นพร้อมกันไปด้วยได้ อย่างที่เคยบอกครั้งที่แล้วว่าการทุบหม้อข้าวของผมมันคือการงาน ความรัก สุขภาพ ที่ผมทุบไปหมดเลยจริงๆ ตอนนี้เวลาเจอรุ่นน้องที่อายุใกล้ๆ ผมตอนนั้น 23-25 ปี ผมจะพูดเสมอว่าให้ทำทุกอย่างควบคู่กันไป มันเป็นเรื่องการจัดการเวลาของเรา ถ้ามีโอกาสอะไรเข้ามาในชีวิต เปิดรับให้หมด แล้วขยันให้มากกว่าเดิม ไม่ใช่ตัดมันทิ้งไปแล้วบอกว่าเวลาเรามีเท่านี้ เพราะจริงๆ แล้วเวลามันมีพอ ที่ไม่พอคือความขยันของเรามากกว่า
แล้วปัญหาสำคัญของผมคือพอทุบหม้อข้าวมาแล้ว ผมใช้เวลาทำเพลงเท่ากับตอนที่ยังไม่ทุบ แทนที่ทุบมาแล้วจะเอาเวลาไปแต่งเพลงวันละ 10 เพลง แต่ผมไม่ทำสิ่งนั้นเลย แต่กับคนอื่น ผมรู้สึกเลยว่าเขาทุบแล้วทำจริงๆ พัดกับกันแต่งเพลงมาเยอะมาก แล้ววิธีการของวงเราคือจะส่งเข้ากรุ๊ปไลน์ ถ้าเพลงไหนไม่ดีก็มีแค่ขึ้นว่า Seen By 3 People แล้วไม่มีฟีดแบ็กกลับมา ก่อนจะมาเป็นเพลง หมายความว่าอะไร กันน่าจะโดน Seen ไปประมาณ 150 รอบได้ พี่โปเต้ก็น่าจะหลายสิบครั้ง ส่วนผมก็แค่ Seen อย่างเดียว ไม่ได้ช่วยอะไรมากกว่านี้เลย
กัน: รีบๆ แต่งมาสิ จะได้ช่วย Seen บ้าง (หัวเราะ)
โปเต้: ผมคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจว่าทุบก็ทุบ แล้วถ้าเราเจ๋งพอ เราต้องไม่อดตาย แต่ถ้าเรากระจอก ไม่เจ๋งจริง สักวันเราก็แห้งตายหายไปจากวงการนี้เอง แต่ตอนนี้ยังคิดว่าจะไปต่ออยู่ครับ
พัด: ส่วนผมเป็นคนที่มีทัศนคติเหมือนเพลง สตรอง แบบร้อยเปอร์เซ็นต์เลย คิดว่าถ้าวันนั้นไม่เป็นแบบนั้น วันนี้ก็จะไม่เป็นแบบนี้ แล้วทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอ ผมบอกตัวเองทุกวัน ไม่ว่าเราจะตัดสินใจพลาดบ้าง ออกนอกลู่นอกทางบ้าง ทำอะไรที่ดูโง่ๆ บ้าง แต่สุดท้ายมันก็พาเรามาอยู่ตรงนี้ และเราก็ยังต้องตัดสินใจอะไรอีกหลายเรื่องที่ไม่รู้ว่าถูกต้องหรือเปล่าเพื่อพาพวกเราไปสู่ทางข้างหน้าต่อไป
ทัศนคติเรื่องไหนที่วง MEAN Beta2 ถูกพัฒนาขึ้นมาจากวง MEAN Beta1 มากที่สุด
ปาล์ม: ตอนที่ออกมาทำกันใหม่ๆ ผมไม่เคยคิดเรื่องรายได้เลย คือจะทำเพลงแบบที่ตัวเองอยากทำจริงๆ แต่พอเข้ามาทำจริงๆ ความคิดเรื่องนี้ของผมเปลี่ยนไปเลยนะ เมื่อก่อนเราเคยยกย่องคนที่ทิ้งทุกอย่างเพื่อมาทำตามความฝัน คิดว่านั่นคือสิ่งที่เจ๋ง แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าคนที่ควรยกย่องมากกว่าคือคนที่ยอมทิ้งความฝันของตัวเองแล้วทำงานเก็บเงินเพื่อเลี้ยงพ่อแม่ แฟน และคนที่เขารัก
ตอนนี้ผมคิดว่าในอนาคตเราอยากทำงานตรงนี้ออกไปแล้วสามารถหารายได้มาช่วยเลี้ยงน้องสาวที่กำลังอยู่ในวัยเรียน หรือจะช่วยส่งเสียพ่อแม่ในตอนที่เขาแก่ชราได้หรือเปล่า แต่ตอนนี้ยังทำไม่ได้แน่ๆ เพราะเราไม่เคยตั้งเป้านี้กันมาก่อนเลย เราเพิ่งมาคุยกันจริงๆ จังๆ ไม่นานนี้เองนะครับว่าทุกวันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่วะ
พัด: โจทย์ตอนแรกที่คิดกัน เราคุยกันว่าจะทำมันเป็นอาชีพ แต่ไม่เคยคุยเรื่องการหารายได้กันจริงๆ คุยกันแค่ว่าเพลงเราจะต้องเจ๋งที่สุด เราจะทำซาวด์แบบนี้ที่เมืองไทยยังไม่มี
ปาล์ม: จำได้แม่นเลย ครั้งแรกที่คุยกัน เราพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ากูจะเปลี่ยนวงการเพลงไทยเว้ย
พัด: เป็นยังไงล่ะมึง
ปาล์ม: วงการเพลงเปลี่ยนมึงเลย (หัวเราะ)
กัน: ถ้าเอาเพลงที่ทำตอนแรกๆ มาเปิดนี่ โห ผมว่าโคตรล้ำเลยนะ แต่มันล้ำในระดับที่ไม่มีใครฟังกันได้แน่ๆ (หัวเราะ)
พอคิดแบบนี้มันจะกลายเป็นว่าจิตวิญญาณบริสุทธิ์ในการทำเพลงของวง MEAN มันจะลดลงไปด้วยไหม
กัน: ผมว่าเป้าหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถ้าบางคนฝันว่าอยากทำเพราะมีความสุข ถ้าทำแล้วมีความสุข อันนั้นคือจบแล้วตามเป้าหมายที่ต้องการ แต่ถ้าเรามีความฝันว่าอยากทำให้เป็นอาชีพ ก็ต้องดูว่าเป้าหมายเป็นยังไง ทำยังไงให้มันหาเลี้ยงชีวิตได้
พัด: ผมเรียนนิติศาสตร์มานะ ถ้าจะพูดแบบนี้ก็ต้องมาคุยถึงนิยามของคำว่าจิตวิญญาณกันก่อนว่าหมายความว่าอะไร ซึ่งไม่ได้มีแบบไหนผิดหรือถูกนะ แต่สำหรับผม ถ้าจิตวิญญาณคือการทำเพลงที่เราชอบอย่างเดียวโดยไม่ต้องสนใจใครเลย มันอาจจะไม่ตรงกับผมเท่าไร
ปาล์ม: เรื่องนี้มันพูดยากเหมือนกันนะ ถ้าจะบอกว่าการทำงานเพื่อสื่อสารกับคนหมู่มาก นั่นเป็นการทำงานด้วยจิตวิญญาณที่ไม่บริสุทธิ์ อย่างเราทำเพลง สตรอง ออกมา หนึ่งคือเป็นเพลงที่พวกเราชอบ สองคือเป็นเพลงที่พวกเราทำออกมาเพราะอยากให้กำลังใจ แล้วมันสื่อสารไปกับความรู้สึกของหลายคนได้ด้วย ผมว่ามันก็ตอบโจทย์ได้เหมือนกันนะ แต่อย่างน้อยความคิดที่ว่าเราอยากทำเพลงที่เราชอบและให้กำลังใจคน แบบนั้นมันก็มาจากความคิด มาจากจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ของเราจริงๆ
กัน: จิตวิญญาณคงไม่ได้แปลว่าฉันต้องเท่ ต้องไม่เหมือนคนอื่น แต่อาจจะหมายความว่าเพลงนั้นโคตรแมส สามารถเข้าถึงจิตใจคนฟังได้ทั้งหมดเลย แบบนี้ผมก็ว่าเป็นจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์เหมือนกันนะ
พัด: แล้วไอ้จิตวิญญาณบริสุทธิ์ที่ตามใจตัวเองแบบเมื่อก่อนของพวกเรามันเอามาเติมน้ำมันรถไม่ได้ด้วยนะ (หัวเราะ)
เมื่อก่อนวง MEAN เคยคุยกันว่าจะทำเพลงเพื่อเปลี่ยนวงการดนตรี ตอนนี้เวลานั่งคุยกัน พวกคุณตอบคำถามกันไหมว่ากำลังทำเพลงเพื่ออะไรอยู่
โปเต้: อยากให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นเวลาได้ฟังเพลงของเรา อย่างหนึ่งคือในค่าย LOVEiS ของพี่บอยที่มีเครื่องหมาย + มองโลกในแง่ดีกำกับอยู่แล้ว เราอยากทำเพลงแบบนั้นออกมาเหมือนที่พี่เขาเคยทำไว้ในเพลง ฤดูที่แตกต่าง หรือ Live & Learn ที่ฟังแล้วยกระดับจิตใจผู้คนจนเป็นเพลงอมตะมาถึงวันนี้
กัน: เวลาอยู่กับพี่บอยแล้วมีคนมาหา เราจะได้ยินคนพูดบ่อยมากทำนองว่า เพราะเพลงของพี่ ผมเลยอยู่รอด เพราะฟังเพลงของพี่ วันนั้นผมเลยไม่กระโดด ผมเลยไม่กินยา ผมคิดว่าการที่ทำเพลงแล้วสื่อสารไปถึงจุดที่ช่วยชีวิตเขาได้ มันคือจุดสูงสุดแล้ว
พัด: ผมเคยเอาเพลงไปส่งพี่บอยแล้วเขาพูดว่า “ทำไมมีแต่เพลงรักล่ะ ไม่แต่งเพลงเพื่อชีวิต เพลงให้กำลังใจคนบ้างเหรอ” พี่เขาคงพูดทีเล่นทีจริงนะ แต่ก็กลับมานั่งคิดทั้งคืนว่า เออ เราไม่มีเพลงแบบนั้นเลยจริงๆ นี่หว่า ถ้ามองจากเพลงที่พี่บอยหรือพี่ๆ คนอื่นๆ ฝากไว้ แล้วเราได้เป็นส่วนเล็กๆ จากความปรารถนาดีแบบนั้นก็คงจะเป็นอะไรที่มีคุณค่ากับชีวิตคนทำเพลงอย่างพวกเราแล้ว
ปาล์ม: ถ้าดูจากกราฟเพลงของวง MEAN เพลง ตัวแถม คือเพลงที่ลงลึกที่สุดที่จะทำให้คนคนหนึ่งดิ่งได้แล้ว มันเป็นสถานะที่แย่มากๆ เก็บกูไว้ได้ไหม เป็นตัวแถมก็ยังดี พอเพลง สตรอง ก็แหวกออกมาแบบให้กำลังใจ ทุกคนต้องเข้มแข็งได้ในสักวันหนึ่ง แล้วก็คุยกันมาตลอดว่าในเพลงต่อๆ ไป ถึงเพลงของวง MEAN มันจะเศร้า แต่มันก็ต้องมีความหวังอยู่เสมอนะ เพราะเราเชื่อว่าเพลงมันสามารถช่วยเหลือคนได้จริงๆ
เพลง เป็นอดีต
[advanced_iframe securitykey=”80f83462c2623799be9a6814e4864ba467006c42″ src=”//www.tinywebgallery.com” width=”100%” height=”600″]