ธุรกิจศูนย์การค้ากลับมาสดใส นักท่องเที่ยวใช้จ่ายคึกคัก MBK เผย ปี 2025 มุ่งเติมแม็กเน็ตร้านดังเพิ่มทราฟฟิก-ขึ้นค่าเช่า 3% พร้อมย้ำภาพลักษณ์ไม่ได้มีแค่ลูกค้าต่างชาติ แต่วันนี้จับคนไทยได้ 60% แล้ว
วิจักษณ์ ประดิษฐวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ฉายภาพว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวในไทยมีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากการสนับสนุนของมาตรการรัฐบาล ส่งสัญญาณบวกให้กับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวอย่างศูนย์การค้าและโรงแรมกลับมาสดใสแล้ว
โดยเฉพาะ MBK Center กลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว มีทราฟฟิกอยู่ที่ 80,000-100,000 คนต่อวัน เรียกว่าเป็นระดับที่สูงกว่าช่วงโควิด ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 40% ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรปและอินเดีย ใช้จ่ายเริ่มที่ 4,000 บาทต่อบิล ส่วนอีก 60% เป็นนักท่องเที่ยวคนไทย ใช้จ่ายแค่ 1,000 บาทซึ่งยังน้อยอยู่ ซึ่งมาตรการ Easy e-Receipt 2.0 อาจไม่ได้ช่วยกระตุ้นบริษัทมากนัก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘MBK’ ภายใต้การนำทัพของซีอีโอคนใหม่ เผยปี 2566 ทุ่มงบ 2,000 ล้าน ขยายธุรกิจในเครือ
- MBK มีนโยบายตรึงส่วนลดค่าเช่า 30-70% ช่วยร้านค้า ส่วนร้านแฟชั่นไม่เก็บเลย…
- ศูนย์การค้าเครือเอ็มบีเค ยกเว้นค่าเช่าพื้นที่ให้ผู้เช่า หลังจากต้องปิดเพื่อป้องกันโควิด-19
ต้องบอกว่าหลังจากโควิดเราปรับกลยุทธ์มาจับกลุ่มลูกค้าในไทย อายุตั้งแต่ 18-35 ปีมากขึ้น และพยายามศึกษาจึงพบว่าวัยรุ่นไทยนิยมกินอาหารญี่ปุ่น เราก็เติมร้านอาหารญี่ปุ่นเข้ามา รวมถึงร้านค้าอื่นๆ ซึ่งก็ตอบโจทย์อย่างมาก และปีนี้เตรียมขึ้นราคาพื้นที่เช่าขั้นต่ำ 3% ขึ้นอยู่กับหมวดสินค้า ซึ่งเป็นการขยับขึ้นทุกปีอยู่แล้ว
ส่วนศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ในไตรมาส 2 ปีที่ผ่านมาได้ปรับให้ทันสมัยขึ้น ทำให้มีผู้เข้ามาใช้บริการมากขึ้นกว่าเดิม
ขณะที่ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว มีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นชาวต่างชาติคิดเป็น ประมาณ 90% ของลูกค้าทั้งหมด ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น และในปีที่ผ่านมารีโนเวตห้องพักในโรงแรมปทุมวันปริ๊นเซสไปแล้ว
และปี 2025 อยู่ระหว่างทยอยปรับปรุงห้องพักในโรงแรมดุสิตธานี กระบี่ บีช รีสอร์ท และลยานะ รีสอร์ท แอนด์ สปา คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี พร้อมกับการเปิดโรงแรมใหม่ภายใต้ชื่อโรงแรมทินิดี เทรนดี้ กรุงเทพ ข้าวสาร เข้ามาเสริมพอร์ตเพิ่มอีก 1 แห่ง
ยอมรับว่าในปีที่ผ่านมาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีความท้าทายมาก ด้วยสภาวะตลาดที่ไม่เอื้อหลายอย่าง แต่บริษัทไม่ค่อยได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากขายโครงการเดิมที่มีอยู่ รวมทั้งส่วนใหญ่เป็นโครงการที่พัฒนาบนพื้นที่ของ MBK เอง และยังมีการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หัวเรือใหญ่ MBK กล่าวต่อถึงทิศทางการดำเนินงานต่อจากนี้ ดึงร้านค้าที่กำลังนิยมหรือเป็นกระแสเข้ามาเปิดในศูนย์การค้า เน้นทำการตลาดแบบ Targeted Marketing รู้จัก รู้ใจลูกค้า พร้อมทำการตลาดกระตุ้นการขายในรูปแบบของกิจกรรมส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทยให้ต่างชาติสนใจ โดยทุกครั้งที่จัดอีเวนต์จะมีการวัดผลทุกครั้งว่าประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน
ส่วนธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม พยายามเติมแม็กเน็ตทั้งร้านอาหาร ขนม และไลฟ์สไตล์เข้ามาตอบโจทย์ รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เราเชื่อว่าทำเลในภูเก็ตยังมีศักยภาพมาก ในปีนี้จึงเตรียมเปิดโครงการใหม่ที่ภูเก็ต คือ THE PANO มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการพูลวิลล่าระดับลักชัวรี ชูจุดขายความเป็นส่วนตัวและติดสนามกอล์ฟวิวภูเขา ซึ่งคู่แข่งในตลาดไม่มีใครทำ ราคาเริ่มต้น 30 ล้านบาท จับกลุ่มลูกค้าต่างชาติ
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 มีรายได้ 8,226 ล้านบาท เติบโต 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทสำหรับสิ้นไตรมาส 3/67 เป็นจำนวน 2,112 ล้านบาท และเติบโต 68% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการเติบโตที่ผ่านมาหลักๆ มาจากธุรกิจศูนย์การค้า ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว และธุรกิจกอล์ฟ
“อย่างไรก็ตามในปี 2025 บริษัทยังให้ความสำคัญกับ 7 ธุรกิจเท่าๆ กัน เช่น ศูนย์การค้า โรงแรม กอล์ฟ Real Estate อาหาร แน่นอนว่าข้อดีของการมีหลายธุรกิจนั้นจะช่วยกระจายความเสี่ยงในช่วงที่เจอวิกฤตได้ค่อนข้างดี ขณะเดียวกันในภาคธุรกิจเรายังกังวลกับภาวะเศรษฐกิจโลก โรคระบาด สงคราม ถ้าเศรษฐกิจในยุโรปไม่ดี นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในไทยอาจใช้จ่ายน้อยลง” วิจักษณ์ย้ำ