จากรถยนต์คันแรกของมาสด้าที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 1931 และโลดแล่นอยู่บนท้องถนนทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ ตลอดระยะเวลา 88 ปีที่ผ่านมา มาสด้ายังคงไม่หยุดพัฒนายนตรกรรมรุ่นใหม่ๆ โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ ‘ความสมบูรณ์แบบ’ ทั้งในด้านดีไซน์ เครื่องยนต์ ฟังก์ชัน และเทคโนโลยี เพื่อเติมเต็มชีวิตที่ดี และตอบสนองความต้องการที่ไม่รู้จบของผู้ขับขี่และผู้คนบนท้องถนน
ยนตรกรรมของมาสด้าทุกคันเริ่มต้นด้วยความพิถีพิถันตั้งแต่ยังเป็นโมเดลโครงสร้างที่ปั้นจากดินเหนียว ก่อนเติมความโฉบเฉี่ยวผสมผสานเส้นสายที่เรียบง่ายด้วยแนวคิดการออกแบบ Kodo Design และเติมขุมพลังให้รถยนต์ทุกคันด้วยเครื่องยนต์ SKYACTIV และเทคโนโลยีความปลอดภัย i-ACTIVESENSE ผสานทุกฟังก์ชันการขับขี่ตามปรัชญา Human Centric ที่ทำให้ผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลางในทุกฟังก์ชันขณะนั่งอยู่หลังพวงมาลัย และองค์ประกอบเหล่านี้คือเหตุผลที่ทำให้รถยนต์มาสด้าให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากรถยนต์คันอื่นๆ
ความประณีตทุกรายละเอียดจากช่างฝีมือชาวญี่ปุ่น
กว่าจะกลายเป็นรถยนต์แต่ละรุ่น มาสด้าใช้ความใส่ใจในรายละเอียดเป็นเครื่องนำทาง โดยเริ่มต้นด้วยการสร้างแบบลงบนกระดาษ และขึ้นรูปรถโดยรถดินเหนียว ก่อนจะขึ้นโครงรถยนต์ด้วยโลหะ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการที่ยากและซับซ้อนที่สุดในการประกอบชิ้นส่วนของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังของรถยนต์ ในแต่ละกระบวนการจะต้องผ่านมือของช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญ หรือที่เรียกว่า ‘ทาคูมิ’ ที่ได้รับการฝึกฝนทักษะตลอดระยะเวลาหลาย 10 ปี
เช่นเดียวกับการประดิษฐ์พื้นผิวของเบาะนั่งไปจนถึงพวงมาลัย ซึ่งช่วยยกระดับความรู้สึกพรีเมียมให้กับห้องโดยสาร โดยช่างฝีมือของมาสด้าลงลึกในรายละเอียด แม้กระทั่งการวางตำแหน่งตะเข็บ เพื่อสร้างความประทับใจสูงสุดให้กับผู้ขับขี่ในทุกๆ ครั้งที่เปิดประตูเข้าสู่รถ
ทุกเส้นสายคือการเคลื่อนไหวอันทรงพลัง
จากการเคลื่อนไหวอันงดงามของสรรพสิ่งตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นกระแสลมหรือการไหลรินของน้ำ มาสด้าดึงเอาแรงบันดาลใจเหล่านั้นมาใช้ถ่ายทอดเป็นงานดีไซน์ตามแนวคิดการออกแบบ Kodo Design ที่สะกดทุกสายตาด้วยองค์ประกอบของความเร็ว พละกำลัง และเสน่ห์
เส้นสายที่เรียบง่าย แต่แฝงด้วยความโฉบเฉี่ยวของยนตรกรรมรุ่นใหม่ของมาสด้า คือภาพสะท้อนของแนวคิดการออกแบบ Kodo Design ที่ถูกถ่ายทอดสู่มาสด้า วิชัน คูเป้ ยนตรกรรมต้นแบบของรถยนต์เจเนอเรชันถัดไปที่คว้ารางวัล The Most Beautiful Concept Car of the Year 2018 และ Concept Car of the Year 2018 และถูกเชิญไปแสดงในงาน Concorso d’Eleganze Villa d’Este ริมทะเลสาบโคโม่ ของอิตาลี ซึ่งเป็นงานแสดงมรดกทางวัฒนธรรมและรถยนต์ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และมาสด้าเป็นเพียงไม่กี่แบรนด์ที่ได้รับเชิญมาแสดงรถต้นแบบในอนาคต
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า มาสด้ามองรถยนต์เป็นมากกว่ายานพาหนะ เพราะยนตรกรรมของพวกเขาคือผลงานศิลปะที่ขับเคลื่อนได้ โดยมีความหลงใหลเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีในการสร้างสรรค์ผลงานที่แตกต่าง
ปลุกชีวิตให้รถยนต์ด้วย SKYACTIV เครื่องยนต์แห่งอนาคต
นอกเหนือจากรูปลักษณ์ทั้งภายในและภายนอกของรถยนต์ที่มาสด้าบรรจงออกแบบมาอย่างพิถีพิถันแล้ว ยนตรกรรมของมาสด้ายังพัฒนาประสิทธิภาพให้มีแรงขับเคลื่อนมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ช่วยประหยัดน้ำมันมากขึ้นด้วยเครื่องยนต์ SKYACTIV ที่เปรียบเสมือนหัวใจของรถมาสด้าทุกรุ่น
โจทย์ตั้งต้นของวิศวกรมาสด้าคือ ความรู้สึกสนุกสนานในการขับขี่ ดังนั้น เครื่องยนต์ SKYACTIV จึงมาพร้อมกับประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันมากขึ้น ขณะที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง เพิ่มความปลอดภัยที่อยู่ควบคู่ไปกับความสนุกในการขับขี่ โดยมาสด้าได้พัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายในให้กลายเป็นเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง ทั้งใน SKYACTIV-G ที่ใช้เชื้อเพลิงเบนซิน และ SKYACTIV-D ที่ใช้เชื้อเพลิงดีเซล
เครื่องยนต์ SKYACTIV-G มาพร้อมกับความแรง แต่ประหยัดน้ำมันด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้เครื่องยนต์สันดาปภายในฉีดเชื้อเพลิงโดยตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีอัตราส่วนกำลังอัดสูง ช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น แรงบิดเพิ่มขึ้นถึง 15% และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยค่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดลง
ส่วนเครื่องยนต์ SKYACTIV-D ถูกพัฒนาให้ทำงานตอบสนองผู้ขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น จากอัตราส่วนกำลังการบีบอัดที่สมบูรณ์ ทำให้ได้เครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง แรง รอบจัด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และทำให้เสียงเครื่องยนต์ทำงานเงียบมากขึ้น และทำให้อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลดลงกว่าเดิม 20%
มั่นใจสูงสุดด้วยเทคโนโลยีแห่งความปลอดภัยที่มากกว่า
หากมนุษย์ทุกคนเกิดพร้อมกับสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ยนตรกรรมรุ่นใหม่ของมาสด้าทุกคันก็ถือกำเนิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีสุดล้ำที่จะช่วยปกป้องความปลอดภัยให้กับทุกชีวิตบนท้องถนน ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร รถยนต์คันอื่นๆ หรือคนเดินเท้า
i-ACTIVSENSE เทคโนโลยีความปลอดภัยของมาสด้าในเจเนอเรชันใหม่ คือการรวมเทคโนโลยีความปลอดภัยเชิงป้องกันในแบบเฉพาะของมาสด้า ที่ผ่านการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้น และปกป้องคุณด้วยเทคโนโลยีที่หลากหลายตลอดทั้งคันรถ ให้คุณขับขี่บนท้องถนนและเผชิญกับทุกสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันด้วยความมั่นใจสูงสุด
คิดทุกอย่างบนพื้นฐานของความต้องการมนุษย์
อีกหนึ่งปรัชญาที่มาสด้ายึดถือมาโดยตลอดคือ Human Centric Philosophy ที่วิศวกรของมาสด้าคิดทุกอย่างบนพื้นฐานความต้องการของมนุษย์เป็นหลัก ตั้งแต่ท่านั่งในการขับขี่ การบังคับพวงมาลัย ไปจนถึงความบันเทิงภายในรถ
จากการทำงานอย่างหนัก เพื่อทำให้มั่นใจว่าผู้ขับขี่จะสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับรถได้อย่างสมบูรณ์แบบ และทำให้รถเป็นเสมือนอีกหนึ่งอวัยวะของร่างกายมนุษย์ ฝ่ายทดสอบและวิจัยของมาสด้าพบว่า ตำแหน่งการขับขี่ในอุดมคติคือตำแหน่งที่ร่างกายเลียนแบบสภาพธรรมชาติในสภาวะที่ไร้แรงโน้มถ่วง เนื่องจากจะทำให้ผู้ขับขี่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น นอกจากนี้มาสด้ายังออกแบบที่นั่งให้ผู้ขับขี่เกิดประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกสบายและผ่อนคลาย ซึ่งหลักการนี้ถูกใช้ในโครงสร้างทั้งหมดของรถยนต์ เช่น พวงมาลัยและคันเร่งที่ถูกวางไว้ในตำแหน่งที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติและช่วยลดความเหนื่อยล้า
นอกจากนี้มาสด้ายังพัฒนารถยนต์ภายใต้ปรัชญา ‘จินบะ อิไต’ ที่ผสานให้รถกับผู้ขับเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยเทคโนโลยี SKYACTIV-VEHICLE DYNAMICS ที่ผสานและควบคุมการทำงานของรถทั้งคันตั้งแต่เครื่องยนต์ ระบบเกียร์ โครงสร้างตัวถัง ไปจนถึงช่วงล่าง ให้ทำงานสอดประสานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ มอบความสนุกเร้าใจในการขับขี่ และทำให้ผู้โดยสารสัมผัสถึงความสบายตลอดการเดินทาง
สำหรับแพลตฟอร์มเจเนอเรชันใหม่ของมาสด้า (SKYACTIV-VEHICLE ARCHITECTURE) ถูกพัฒนามาจากการศึกษาสรีระร่างกายจากการเดินอย่างเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์จะรับรู้สภาพพื้นจากเท้าสู่ขา สู่กระดูกเชิงกราน และกระดูกสันหลังรูปตัว S มาสด้าจึงพัฒนาให้รถสามารถรับรู้สภาพถนน โดยให้รถเป็นเสมือนส่วนหนึ่งของร่างกายคือ สามารถถ่ายทอดสภาพถนนผ่านยางล้อรถ สู่ช่วงล่าง สู่เบาะ และกระดูกเชิงกราน ทำให้ผู้ขับรู้สึกประสานเป็นหนึ่งเดียวกันกับรถ ราวกับว่าเป็นอีกหนึ่งอวัยวะของร่างกาย
ทั้งหมดนี้คือความต่างทางความรู้สึกที่คุณสามารถสัมผัสด้วยตัวเองได้แล้ววันนี้ในรถยนต์ ALL – NEW MAZDA 3 ยนตรกรรมยุคใหม่ของมาสด้ารุ่นแรกที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล