ผมจำได้ว่าเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนปี 2024 ตอนที่ได้ไปดูแฟชั่นโชว์ CHANEL Cruise 2024/25 Replica ที่ฮ่องกง ผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์ Bruno Pavlovsky ประธานฝั่งแฟชั่นของ CHANEL และถามว่าเขากำลังมองหาอะไรในตัวครีเอทีฟไดเรกเตอร์คนใหม่ ซึ่งในตอนนั้นยังไม่ได้มีการประกาศออกมาว่าใครจะได้รับตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในวงการแฟชั่นลักชัวรี
คำตอบที่ Bruno ให้ผมในวันนั้นคือ “ผมเชื่อว่าบริษัทเราพร้อมแล้วที่จะลองอะไรใหม่ๆ แต่คำถามตอนนี้คือเวลาไหนเหมาะสมที่สุด โดยสิ่งที่เสี่ยงสำหรับผมคือการเดินหน้าเร็วเกินไป เรายังต้องใช้เวลา ยังต้องรู้ว่าอยากได้อะไร ไม่อยากได้อะไร แต่แน่นอนสำหรับ CHANEL มันคือเรื่องของ Heritage และการที่จะสะท้อนสิ่งนี้ต่อไปในอนาคต ซึ่งเป็นอะไรที่สำคัญมากสำหรับเรา โดยขั้นตอนการหาคนคนนี้กำลังไปได้ดีและวันหนึ่งคุณตื่นมาก็จะเจอกับคำตอบที่สร้างเซอร์ไพรส์ว่าเขาคือใคร”
แต่ “CHANEL จะกล้าหลุดนอกกรอบจริงๆ เหรอ” คือคำถามในใจของผม เพราะ CHANEL เป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างมีความชัดเจนว่าต้องการสื่ออะไรออกมาและมีกลยุทธ์ที่เฉียบคมและมั่นคง…ทุกร้านค้า ทุกแฟชั่นโชว์ ทุกแคมเปญ ล้วนแล้วมีสูตรสำเร็จทั้งหมด
หนึ่งเดือนต่อมา CHANEL ก็ได้สร้างเซอร์ไพร์สกับการประกาศว่า Matthieu Blazy ดีไซเนอร์ลูกครึ่งฝรั่งเศส-เบลเยียม ได้รับเลือกให้เข้ามาเป็นครีเอทีฟไดเรคเตอร์คนที่ 4 ของแบรนด์ หลังจากที่เขาเคยฝากผลงานอันยอดเยี่ยมไว้ที่ Maison Margiela, Celine, Calvin Klein และ Bottega Veneta แต่เราก็ต้องรออีก 10 เดือนกว่าจะได้เห็นผลงานแรกของเขากับคอลเล็กชัน Spring/Summer 2026

และแล้ววันนั้นก็มาถึงกับแฟชั่นโชว์แรกของ Matthieu Blazy ณ Grand Palais ใจกลางกรุงปารีส ที่เปรียบเสมือนบ้านอีกหลังของ CHANEL ซึ่งครบรอบ 20 ปีพอดีที่แบรนด์จัดโชว์ที่อาคารนี้ หลังจัดครั้งแรกเมื่อปี 2005 กับโชว์ Spring/Summer 2006 โดย Karl Lagerfeld
ซึ่งผมต้องบอกเลยว่าโชว์ในครั้งนี้เป็นหนึ่งในค่ำคืนที่มหัศจรรย์มากที่สุดตลอด 13 ปีที่ผมได้ทำงานวงการแฟชั่นมา เทียบเท่ากับตอนผมได้ไปชมแฟชั่นโชว์เดบิวต์ของ Pharrell Williams ที่ Louis Vuitton บนสะพาน Pont-Neuf หรือตอนดูโชว์ High Jewelry บนกำแพงเมืองจีนของ Cartier
ตั้งแต่นาทีแรกที่ผมได้เหยียบเท้าเดินเข้าไปยัง Grand Palais และเห็นดาวเคราะห์ต่างๆ ที่ตกแต่งและรายล้อมตัวอาคาร ผมก็ต้องยอมรับว่าแอบประหลาดใจและสงสัยว่าเรากำลังจะเจออะไร เพราะตัวบัตรเชิญที่ส่งมาก็มินิมัลสุดๆ กับการ์ดสีขาวใบเล็ก พร้อมโลโก้ CC ที่ย่อเล็กลง และสร้อยกับตัวจี้รูปบ้าน แต่ผมก็ตื่นเต้นมากๆ เช่นกัน เพราะรู้ว่านี่คือ New Era ของ CHANEL และทาง Bruno Pavlovsky และ Leena Nair ซีอีโอของแบรนด์ก็ได้เปิดกว้างให้ Matthieu Blazy ได้สามารถใช้จินตนาการแบบไร้ขีดจำกัดเพื่อขยายจักรวาลของ CHANEL อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะ Conceptual หรือ Abstract ขนาดไหนก็ตาม ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม เพราะในยุคสมัยนี้ มนต์ขลังและเสน่ห์ของแฟชั่นโชว์ได้หายไปค่อนข้างเยอะ เพราะทุกอย่างกลายเป็นเชิงพาณิชย์ไปหมด และโชว์ของ CHANEL ในรอบหลายปีที่ผ่านมาก็อาจไม่ได้ทำให้คนได้ฝันและหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง เหมือนในยุคสมัยของ Karl Lagerfeld
โดยเหตุผลที่ Matthieu Blazy ได้ตัดสินใจอยากทำให้ฉากของแฟชั่นโชว์ CHANEL แรกของเขาเป็นกาแล็กซีดาวเคราะห์ก็เพราะคอนเซปต์ของโชว์นี้คือการจินตนาการบทสนทนาระหว่างตัวเขาและ Gabrielle Chanel ผู้ก่อตั้งแบรนด์ ซึ่งเธอก็เป็นคนที่อินกับเรื่องดาราศาสตร์ ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลก็คือทาง Matthieu ได้ให้สัมภาษณ์กับ Tim Blanks แห่งเว็บไซต์ Business of Fashion ว่า “CHANEL เปี่ยมไปด้วยพลังบนทุกทวีป ซึ่ง CHANEL จะต้องมีความสากลที่ครอบทั้งจักรวาล โดยผมอยากสร้างความฝันที่ไม่ได้เกี่ยวกับอายุหรือเชื้อชาติใครอีกต่อไป เพราะเด็กก็ฝันถึง CHANEL หรือคุณยายของคุณก็ฝันถึง CHANEL เช่นกัน”

มาที่หัวใจสำคัญของโชว์ นั่นก็คือเรื่องราวของเสื้อผ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ถือว่าตัดสินอนาคตของ CHANEL และทิศทางของวงการลักชัวรี ไม่มากก็น้อย เพราะ CHANEL เป็นแบรนด์ไฮเอนด์ที่มียอดขายกลุ่ม Ready-to-Wear มากที่สุดในวงการ และสิ่งที่แบรนด์นี้ทำก็จะสร้าง Trickle Down Effect ที่แบรนด์คู่แข่งหรือแบรนด์ระดับรองลงมา จวบจนถึง Fast Fashion ก็อยากจะทำตามหากมองว่าเวิร์ก โดยก็ต้องบอกว่าภาพรวมของคอลเล็กชันคือไม่เพียงสอบผ่าน แต่ผมให้คะแนน A ซึ่งอาจยังไม่ A+ เพราะเชื่อว่า Matthieu สามารถเติบโตและก้าวไปอีกขั้นได้ในซีซันต่อๆ ไปอย่างไม่สิ้นสุด
Matthieu Blazy ได้เผยว่าแรงบันดาลใจแรกของคอลเล็กชันนี้คือเรื่องราวความรักระหว่าง Gabrielle Chanel และคนรักของเธอ Boy Capel ซึ่งในลุคแรกๆ เราจึงเห็นการนำดีเทล Menswear มาตีความใหม่ โดยในลุคเปิดก็คือการนำแจ็กเก็ตของ Matthieu มาเทเลอริงเข้ารูปในทรงของ CHANEL ส่วนตัวเสื้อเชิ้ตแบบตัวโคร่ง (ที่เชื่อว่ามี Waiting List ของลูกค้า VIC แล้ว) ก็เป็นการร่วมมือของ CHANEL และแบรนด์เสื้อเชิ้ตระดับตำนานของฝรั่งเศสอย่าง Charvet ที่มีร้าน ณ จตุรัส Place Vendôme ซึ่ง Gabrielle Chanel เองก็เคยเป็นลูกค้าเองและเดินไปซื้อจากโรงแรม The Ritz Paris ที่เธออาศัยอยู่จนเสียชีวิต
ดีเทลต่อไปที่ต้องพูดถึงก็คือบรรดาดอกไม้ที่นำมาตกแต่งเสื้อผ้า กระเป๋า เข็มกลัด หรือจะต่างหู ซึ่ง Matthieu ไม่ได้เพียงเล่นกับดอกคามิเลียที่เป็น House Codes ประจำของ CHANEL แต่เลือกที่จะนำดอกไม้อื่นๆ มาผสมด้วย ซึ่งเรื่องราวก็มีอยู่ว่าตอนที่ Gabrielle Chanel คบกับ Boy Capel เธอก็เคยงอแงและถามคนรักว่าทำไมเขาไม่เคยคิดที่จะส่งดอกไม้ให้เธอบ้าง ซึ่งวันหนึ่ง Boy Capel ก็เลยตัดสินใจส่งดอกไม้ไปให้ Gabrielle ทุกชั่วโมงเป็นเวลาสองวันจนร้าน CHANEL กลายเป็นเหมือนร้านขายดอกไม้

แต่ Matthieu Blazy ก็ไม่ได้ถึงขั้นลืม House Codes ของ CHANEL ไปทั้งหมด เพราะอย่างเรื่องผ้าทวีตเขาก็ได้เล่นกับการทำลายใหม่ขึ้นมาโดยเป็นการซูมเข้าไปดูในตัวผ้าให้ชัดขึ้นอีก หรือเล่นกับ Trompe-l’œil Effect ที่ทำให้เป็นเหมือนลายทวีตบนชุดเซตผ้าไหม ส่วนข้าวสาลีที่เป็นอีกหนึ่งสิ่งนำโชคของ Gabrielle Chanel ทาง Matthieu ก็ได้นำมาเล่นเป็นลายปักสุดตระการตาบนโค้ตยาวและบนสร้อยคอสตูมต่างๆ
จะไม่พูดถึงกระเป๋าก็คงไม่ได้กับแบรนด์ CHANEL ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในโจทย์ที่ท้าทายสุดๆ เพราะแบรนด์มีตัวอยู่แล้วมากมาย โดยสำหรับคอลเล็กชันนี้ Matthieu Blazy ก็ถือว่าทำได้น่าสนใจเช่นกัน และเชื่อว่าจะถูกนำไปต่อยอดเรื่อยๆ ในซีซันต่อไป อาทิเช่น กระเป๋าสะพายหนังคลาสสิกทรง Oversize ในเฉดสีน้ำตาลและดำที่ดูมีความ Unisex อย่างชัดเจน และผู้ชายหลายคนน่าจะอยากได้ เหมือนที่ Pedro Pascal ถือมาในโชว์และมาซัพพอร์ตน้องสาว Lux Pescal ที่มาเดินแบบให้ CHANEL ครั้งแรก
ส่วนอีกไอเท็มที่กำลังเป็นไวรัลก็คือการนำกระเป๋ารุ่น 2.55 มาดีไซน์ใหม่ให้ดูเหมือนว่าเป็นใบที่คนรักมากที่สุดและใช้จนยับเยินไปหมด โดยก็ถือว่าแฝงด้วยความขี้เล่นของ Matthieu และสะท้อนถึงเทรนด์ที่เรากำลังมาแรงกับคนรุ่นใหม่ที่ได้หันมาซื้อแฟชั่นมือสองหรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Thrifting

นอกจากนี้ อีกหนึ่งอย่างที่ต้องขยายความก็คือเพลงประกอบโชว์ Spring/Summer 2026 ที่ Music Director ระดับตำนานของแฟชั่นโชว์ทั้งหมดของ CHANEL ตั้งแต่สมัย Karl Lagerfeld อย่าง Michel Gaubert ได้มารับหน้าที่ดูแลร่วมกับบาร์อินดี้ของปารีส Le Motel โดยพวกเขาก็ได้เลือกทั้งเพลง Runaway ของ The Corrs และที่กำลังถูกใช้ใน Instagram แบบไม่หยุดหลังโชว์จบก็คือเพลง Rhythm Is A Dancer ของวง SNAP! ซึ่งหากใครไปดูมิวสิกวิดีโอใน YouTube ก็จะเห็นว่าเป็นคอนเซป์ทคล้ายฉากของโชว์เลยที่มีความอวกาศยุค Space Age
พูดได้ว่าแฟชั่นโชว์แรกของ Matthieu Blazy คือทิศทางใหม่ของ CHANEL ที่กลับมาสร้างความตื่นเต้นให้วงการแฟชั่นอีกครั้ง และเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญที่เราควรกลับมาโฟกัสเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ เรื่องของงานฝีมือ และการปล่อยให้ครีเอทีฟไดเรกเตอร์เขาได้มีอิสระอย่างเต็มที่เพื่อทำผลงานที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรัก ความตั้งใจ และอยากสร้างสรรค์สิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งแน่นอนวงการลักชัวรีคือธุรกิจที่ต้องสร้างเม็ดเงิน แต่ถ้าทุกอย่างต้องมาเดินตามหลักสูตรที่เหมือนกันหมดทุกแบรนด์ และกลับกลายเป็นว่าเหล่ากลุ่มคนระดับซีอีโอ ประธานบริษัท หรือผู้จัดการระดับสูงจะมานั่งสั่งว่าเสื้อผ้าควรเป็นอย่างไร วงการนี้ก็จะไม่ไปไหนแน่นอน โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่หลายคนเรียกว่าเป็น ‘วิกฤต’ ของวงการ
อีกสองเดือน Matthieu Blazy ก็เตรียมโชว์ผลงานต่อไปกับคอลเล็กชัน Metiers d’Art 2025/26 ที่นิวยอร์กช่วงต้นเดือนธันวาคม ก่อนเปิดปีมาเขาก็จะนำเสนอผลงาน Haute Couture แรกที่ CHANEL ช่วงปลายเดือนมกราคม ซึ่งสองคอลเล็กชันนี้คือการลงลึกและโฟกัสเรื่องงานฝีมือ Craftsmanship เขาไปอีกที่เขาถนัด ซึ่งไม่ว่ารูปทรงและดีไซน์จะออกมาแบบไหน เราก็เชื่อว่า ณ เวลานี้ Matthieu Blazy ก็น่าจะอยู่ที่อาคาร Le19M ของ CHANEL กับ 11 เวิร์กช้อปและช่างอาร์ติซานร่วม 700 คน พร้อมใช้มันเป็นสวนสนุกแห่งความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างบทต่อไปของเขาที่ CHANEL ที่จะงดงาม แตกต่าง และกล้าหาญที่จะลองอะไรใหม่อยู่ตลอดเวลา เหมือนจุดยืนตั้งแต่แรกเริ่มของ Gabrielle Chanel
ภาพ: CHANEL, Peter White / Getty Images


