ห่างออกไปจากทางตอนใต้ของเมืองเกียวโต นครหลวงเก่าของชาวญี่ปุ่นที่กลายเป็นศูนย์รวมของความอึกทึกในเวลานี้ออกไปเพียงแค่ 12 กิโลเมตร มีเมืองเล็กๆ สงบๆ แห่งหนึ่งเร้นกายอยู่
อูจิ เมืองน้อยที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอูจิซึ่งไหลทอดมาจากทะเลสาบบิวะ มีทั้งธรรมชาติที่สวยงามโดยเฉพาะยามหน้าซากุระผลิบานนั้นก็จะบานสะพรั่งไปทั้งเมืองสดสวยยิ่งนัก การนั่งทอดลมหายใจไปเรื่อยที่ริมแม่น้ำ เป็นกิจกรรมที่โปรดปรานของทั้งชาวเมืองและผู้ที่มีโอกาสได้มาเยือน
ที่นี่ยังมีสะพานอูจิ หนึ่งในสามสะพานที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งถัดไปไม่ไกลนักจะพบรูปปั้นหญิงสาวอยู่ริมน้ำ หญิงสาวท่านนี้คือ มุราซากิ ชิคิบุ ผู้ประพันธ์วรรณกรรม ‘ตำนานเก็นจิ’ (The Tale of Genji) นิยายเก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น
ใครมาเยือนอูจิยังต้องไปวัดเบียวโดอินที่ประดิษฐานพระอมิตาภพุทธะ พระพุทธรูปแกะสลักจากไม้ ประทับบนฐานดอกบัวซึ่งกลีบบัวทำด้วยโลหะ โดยที่ในวัดมีอาคารที่สวยงาม ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วย
แต่ทั้งหมดนั้นดูจะไม่สำคัญนักสำหรับเหล่านักเดินทางในเวลานี้ เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการจากเมืองอูจิไม่ใช่ความเงียบ ความสงบ หรือความสวยงาม แต่เป็นชาเขียวนานาชนิดที่มีจำหน่ายบนถนนสายหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากวัดเบียวโดอินมากนัก
ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาชาวเมืองอูจิไม่ได้เพียงแค่ต้อนรับ แต่กลับต้อง ‘รับมือ’ กับนักเดินทางที่ต้องกาชาเชียวชั้นเลิศ ซึ่งเป็นผลผลิตแห่งความภาคภูมิใจของชาวเมืองอูจิ จากกระแสความคลั่งไคล้ที่กลายเป็นความบ้าคลั่ง โดยมีเหล่า ‘อินฟลูเอนเซอร์’ เป็นผู้จุดกระแส
ปัญหาคือไม่ใช่ทุกคนจะยินดีกับเรื่องนี้ เหมือนเช่นเรื่องราวของ จินทาโร ยามาโมโตะ ทายาทของร้านชาเขียวที่ต้องต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ขอ ‘เหมา’ ชาเขียวหมดทั้งร้านของเขาหวังจะใส่ได้เต็มกระเป๋าเดินทางใบย่อม และต้องพบกับความผิดหวังกลับไปเพราะตอนนี้ไม่ว่าจะร้านไหนก็ไม่มีชาเขียวจำนวนมากขนาดนั้น
เรื่องนี้กำลังนำไปสู่คำถามของชาวเมืองอูจิ
พวกเขาจะเลือกเดินทางไหนดี ในกระแสความคลั่งไคล้ที่บ้าคลั่ง จนอาจทำลายธุรกิจและจิตวิญญาณที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
ภาพปก: afotostock / Shutterstock
จากหัวใจถึงใบชา
ร้านชาของจินทาโร ไม่ต่างอะไรจากร้านชาทั้งหลายบนถนนสายชาเขียวที่อยู่ห่างจากวัดเบียวโดอินเพียงแค่ 5 นาที
ธุรกิจร้านชาเหล่านี้ต่างเป็นกิจการที่สืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่ยุคไทโช (ศตวรรษที่ 19) บางร้านจำหน่ายมัทฉะ (Matcha ชาเขียวที่บดเป็นผงละเอียด) หรือบางร้านเช่นร้านของจินทาโรที่ยังมีเทนฉะ (Tencha ใบชาเขียวก่อนบดเป็นมัทฉะ) จำหน่าย
บางร้านนำชาเขียวมาเป็นส่วนผสมอาหารหรือขนมได้กลมกล่อมน่ารับประทาน เช่น โซบะรสชาเขียว ซอฟต์ครีมชาเขียว หรือพาร์เฟต์ชาเขียวที่โปะด้วยถั่วแดง โมจิ (แน่นอนว่าทำจากชาเขียวเหมือนกัน) ครีมสด และส้มที่ตัดกับสีเขียวที่สาวๆ โปรดปราน
ชาเขียวเหล่านี้มาจากไร่ชาของพวกเขาเองที่จะเริ่มเก็บเกี่ยวใบชากันในช่วงเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นฤดูใบไม้ผลิที่สวยงาม ซึ่งยังคงเก็บเกี่ยวด้วยมือของคนเท่านั้นไม่ใช้เครื่องจักร และจะเลือกเด็ดยอดใบชาอ่อนเพียง 3 ใบแรกของต้นเท่านั้น
โดยในฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่มีเพียงแค่ปีละ 2 สัปดาห์ จินทาโรและเหล่าแรงงานจะค่อยๆ เก็บเกี่ยวใบชาที่ได้คุณภาพดีที่สุดไว้เพราะได้รับการปกป้องใบชาที่ห้ามโดนแสงแดดก่อนเก็บเกี่ยว 1 สัปดาห์ด้วยวิธีดั้งเดิมจากฟางและวัสดุธรรมชาติไม่ได้ใช้ถุงพลาสติกสีดำคลุมแบบที่ไร่ชาส่วนใหญ่ใช้ ก่อนจะนำไปสู่กระบวนการผลิตขั้นต่อไป
ความพิถีพิถันเช่นนี้ คือสิ่งที่คนสมัยใหม่เรียกว่าความ ‘คราฟต์’ และเรื่องราวของมันยิ่งทำให้ชาเขียวของอูจิกลายเป็นที่ต้องการของผู้คนเพราะเป็นของชั้นเลิศหรือที่เรียกว่า ‘พรีเมียม’ โดยเฉพาะผงชาเขียวที่เรียกว่า ‘มัทฉะ’ (Matcha) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย ที่มีการแยกย่อยอีกหลายเกรด
เกรดที่สูงที่สุดคือเกรด ‘พิธีการ’ (Ceremonial grade) ซึ่งสำหรับชาวญี่ปุ่นแล้วพิธีชงชา (ซาโด (茶道)) ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทำเครื่องดื่ม แต่เป็นวิถี ศิลปะ วัฒนธรรม และจิตวิญญาณของพวกเขาเลยทีเดียว
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เหล่าผู้คนที่กำลังคลั่งไคล้ชาเขียวสนใจ
พวกเขาแค่ต้องการชาเขียวที่ดีที่สุดที่จะหาได้ และอูจิคือเมืองของชาเขียวชั้นเลิศที่ดีที่สุด
การชี้นำของผู้ทรงอิทธิพล
ความผิดหวังของนักเดินทางชาวไทยที่มาถึงร้านของจินทาโรแล้วไม่ได้มัทฉะที่ต้องการกลับไป และผลิตภัณฑ์อื่นที่ทำจากชาเขียวก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาหรือเธอเหล่านั้นต้องการ
กระแสความคลั่งไคล้ในชาเขียวนี้เพิ่งเริ่มก่อตัวได้ไม่นาน แต่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยตาพายุเกิดจากการแนะนำของเหล่านักสร้างเนื้อหาที่เรียกว่า ‘อินฟลูเอนเซอร์’ ซึ่งช่วยแนะนำการดื่มชาเขียวที่ชงขึ้นเองว่าเป็นเครื่องดื่มที่ดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็ง ช่วยการทำงานของตับและสมอง รวมถึงช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย
และที่สำคัญชาเขียวที่ชงขึ้นสดๆ ก็เป็นเครื่องดื่มที่ ‘ขึ้นกล้อง’ (Photogenic) เสียด้วย
การชี้นำของผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดของโลกสมัยใหม่นำไปสู่การตามล่าค้นหาชาเขียวไปทุกที่ ไม่ต่างอะไรจากลูฟี่ออกเดินทางเพื่อตามหาวันพีซ และความมหัศจรรย์ของมันคือมันได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ส่งผลกระทบในระดับอุตสาหกรรมชาเขียวทั้งวงการ
ตามรายงานจาก Japan Tea Export Promotion Council เปิดเผยว่าในปี 2024 ญี่ปุ่นส่งออกชาเขียวจำนวน 8,798 ตัน ซึ่งสูงกว่าที่เคยส่งออกเมื่อ 20 ปีที่แล้วถึง 10 เท่าด้วยกัน โดยในจำนวนนี้ชาเขียวในรูปแบบของผงมัทฉะมากถึง 58 เปอร์เซ็นต์
โดยที่แนวโน้มนั้นจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จากกระแสความคลั่งไคล้ในชาเขียวที่เกิดขึ้น
ภาพ: ปวรุตม์ งามเอกอุดมพงศ์ / THE STANDARD LIFE
เพียงแต่สำหรับผู้ประกอบการไร่ชาเขียวซึ่งตั้งอยู่รายรอบจังหวัดเกียวโต ศูนย์กลางของการผลิตมัทฉะในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงไร่ชาระดับพรีเมียมของเมืองอูจิแล้ว พวกเขายังไม่แน่ใจกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเท่าไรนัก
ว่ามันเป็นความนิยมที่จริงแท้และยั่งยืน
หรือเป็นเพียงแค่สายลมอุ่นของใบไม้ผลิที่พัดผ่านมาพร้อมกลิ่นชาแล้วผ่านไป
ความตายของใบชา
ไม่ว่ากระแสชาเขียวจากญี่ปุ่นจะได้รับความนิยมมากสักแค่ไหนก็ตาม สำหรับผู้ประกอบการแล้วพวกเขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้สักเท่าไร
เพราะปัญหาใหญ่ที่สุดไม่ใช่เรื่องของพืชผล แต่คือเรื่องของ ‘คน’
ชาวไร่ชาในเมืองอูจิ หรือเมืองอื่นยังคงใช้วิธีการเก็บเกี่ยวแบบดั้งเดิม เช่น ในไร่ของจินทาโรที่เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเข้าฤดูใบไม้ผลิ เขาจะจ้างแรงงานเพื่อเก็บเกี่ยวใบชาโดยจะใช้จำนวนคนราว 20 คน
แรงงานนี้ไม่ได้เป็นแรงงานต่างชาติที่เข้ามาทำงานภายในประเทศ แต่เป็นบรรดาแม่บ้านที่มีเวลาว่างมาช่วยกันเด็ดใบชาคัดใส่ตะกร้า ซึ่งแม่บ้านเหล่านี้โดยส่วนใหญ่อายุมากกว่า 65 ปีแล้ว โดยที่คนรุ่นใหม่ก็ไม่ได้สนใจงานด้านนี้
“การเก็บใบชาไม่ได้น่าดึงดูดสำหรับเด็กรุ่นใหม่อีกต่อไป และชาวไร่ของเราจำนวนมากก็ไม่มีผู้สืบทอดด้วย” เคียวเฮ ซุกิโมโตะ ประธานบริษัทชา Sugimoto Seicha และผู้ผลิตชาที่ตั้งอยู่ในแคว้นชิสุโอกะ อีกหนึ่งทำเลทองของการปลูกชาเล่าถึงปัญหาใหญ่
“พวกเขาไม่ต้องการส่งต่อธุรกิจให้กับคนในครอบครัวอีกต่อไป”
ฟังแล้วหัวใจหล่นลงแก้วชาทันที…
Demand มีแต่ Supply ไม่ไหวแล้ว
นอกจากร้านค้าในถนนสายชาเขียวของเมืองอูจิจะต้องต้อนรับนักเดินทางจำนวนมหาศาลที่ต่างปรารถนาจะได้ชาเขียวชั้นเลิศมาครอบครอง หรือนำไปขายต่อเพื่อทำกำไรแล้ว ร้านค้าในแถบจังหวัดเกียวโตก็ประสบปัญหาแบบเดียวกัน
ไม่มีของจะขาย หรือหากมีก็น้อยจนต้องจำกัดจำนวนการซื้อ
ในเว็บไซต์ของ Ippodo ร้านชาชั้นนำของเกียวโตขึ้นประกาศชัดเจนว่า “สินค้าหมด” ขณะที่ Marukyu Koyamaen คู่แข่งซึ่งมีร้านค้าในจังหวัดเกียวโตและเมืองอูจิต้องจำกัดจำนวนการซื้อโดยจะขายให้เพียงแค่ 1 ผลิตภัณฑ์ต่อนักท่องเที่ยว 1 คน พร้อมเตือนว่าจะไม่มีการเปิดเผยแผนการรีสต็อกของในคลังล่วงหน้าอีก
“จากปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์มัทฉะในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ในเวลานี้ความต้องการได้เกินกำลังการผลิตของเราไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” แถลงการณ์จากบริษัท Marukyu Koyamaen “นั่นส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มัทฉะเหลือน้อยมากในคลังในเวลานี้”
โชโก นากามูระ ซีอีโอของบริษัทชา Nakamura Tokichi Honten ซึ่งเป็นเจ้าของร้านผลิตภัณฑ์จากชหลายแห่งในเมืองอูจิมองว่ากระแสความคลั่งไคล้ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่ยั่งยืน และชาวไร่ชาก็เจ็บปวดจากการที่แม้จะปลูกชาแต่รายได้ก็ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ขณะที่กระแสความคลั่งไคล้ที่เกิดขึ้นพวกเขาก็ไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตหรือมองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในแง่บวก
“ข้อเสียของกระแสที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วคือ ผู้คนจะเบื่อมันอย่างง่ายดาย”
ใบชาและกระจกยาตะ
ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่นแล้ว ‘ยาตะ โนะ คากามิ’ หรือ ‘กระจกยาตะ’ กระจก 8 ด้านซึ่งเป็นหนึ่งในไตรราชกกุธภัณฑ์ สมบัติของพระจักรพรรดิและเป็นสมบัติล้ำค่าของญี่ปุ่นมีพลังของเทพที่สามารถเปิดเผยความจริงทั้งปวง
เล่าขานตามตำนานว่าครั้งที่ ‘อามาเทราสึ’ เทพีแห่งพระอาทิตย์ ต่อสู้กับเทพ ‘ซุซาโนโอะ’ แห่งทะเลและวายุผู้เป็นน้องชาย เทพีได้หลบหนีเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งทำให้จักรวาลตกอยู่ในความมืดมนอนธการ จนผู้คนเดือดร้อนไปทุกย่อมหญ้า
ร้อนถึงเทพซุซาโนโอะและเทพองค์อื่นๆ ต้องออกอุบายจัดงานรื่นเริงขึ้นหน้าถ้ำที่มีกระจกยาตะวางอยู่ เมื่อเทพีอามาเทราสึออกมาดู ก็ตกใจกับภาพของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกยาตุ เหล่าเทพจึงใช้โอกาสนี้ดึงตัวอามาเทราสึออกมาจากถ้ำได้สำเร็จ ก่อนที่จะยอมคืนดีกับน้องชายทำให้แสงสว่างก็กลับคืนสู่จักรวาลอีกครั้ง
เช่นนั้นเมื่อนำกระจกยาตะมาส่องดูใบชา ก็จะพบกับความจริงที่น่าตกใจ เพราะเทนฉะนั้นไม่ได้มีมูลค่าสูงเหมือนอย่างที่เกิดกระแสขึ้นเลย
ปัญหาสำหรับผู้ผลิตชาคือราคาของใบชาชนิดเทนฉะต่ำลงยิ่งกว่าเมื่อปี 2012 ถึงแม้ว่าจะมีแรงพอดีดตัวกลับมาให้สูงกว่าราคาในปี 2020 โดยปัจจุบันอยู่ที่กิโลกรัมละ 2,168 เยน (490 บาท) แต่ก็ยังไม่ได้สูงอะไรมากมายอยู่ดี
ภาพ: ปวรุตม์ งามเอกอุดมพงศ์ / THE STANDARD LIFE
อย่างไรก็ดีในขณะที่การบริโภคชาเขียวภายในประเทศลดลง โดยในปี 2024 จำนวนการบริโภคชาเขียวลดลงเหลือ 74,000 ตัน ลดลงจากในปี 2004 ถึง 27 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่การบริโภคภายในประเทศลดลงจากปี
แต่ปริมาณการผลิตเทนฉะกลับสูงขึ้น ในปี 2023 ผลิตเป็นสถิติมากถึง 4,176 ตัน มากกว่าในปี 2008 ถึงเกือบ 3 เท่า ถึงแม้ว่าในภาพรวมแล้วจะเป็นเพียงจำนวน 5.6 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตชาเขียวทั้งหมดก็ตาม
เทนฉะในประเทศญี่ปุ่นนั้นมีหลายแหล่งผลิต โดยที่เกียวโตไม่ได้เป็นอันดับหนึ่งอีกต่อไปเมื่อเบอร์หนึ่งคือจังหวัดคาโกชิมะ ขณะที่การบริโภคมัทฉะภายในญี่ปุ่นนั้นปัจจุบันได้ถูกนำไปใช้ในการทำเครื่องดื่มบรรจุขวดและผลิตภัณฑ์อาหารมากกว่าการใช้ในพิธีการชงชา
แม้ชาเขียวจากคาโกชิมะจะไม่ได้โด่งดังเหมือนเกียวโตหรือชิซุโอกะแต่เป็นฐานการผลิตที่สำคัญที่รองรับความต้องการในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งต้องแข่งขันกับชาเขียวจากประเทศจีนและเกาหลีใต้ที่เป็นคู่แข่งด้านการส่งออกด้วย
มีใจให้มัทฉะ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามสำหรับจินทาโร ชาวเมืองอูจิ รวมถึงชาวไร่ชารอบเกียวโตแล้ว สิ่งที่สำคัญเหนือกว่าความสนใจในชาเขียวที่พวกเขาผลิตคือความรู้สึกของพวกเขาที่มีต่อใบชาสีเขียวสดเหล่านี้ที่ปลูกและเก็บเกี่ยวด้วยมือและหัวใจ
คำตอบที่ได้ในเวลานี้ไม่ใช่การร้อนรนทำตามกระแส เร่งกำลังการผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองความบ้าคลั่งจากโซเชียลมีเดียที่ในแง่หนึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี ยิ่งผลิตมากก็ยิ่งมีรายได้มาก แต่ในอีกด้านกระแสเหล่านี้ก็บ่อนทำลายสิ่งดีๆ บนโลกใบนี้มาแล้วหลายอย่าง
มัทฉะของอูจิจะรักษาตัวตนและจิตวิญญาณของตัวเองเอาไว้ วางตำแหน่งของพวกเขาในระดับสินค้าพรีเมียม เกรดพิธีการที่จะไม่ยอมไหลตามกระแสอย่างเด็ดขาด
และความรักในใบชาที่ถ่ายทอดลงมาถึงผงชาสีเขียวคือสิ่งที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกมีใจให้มัทฉะไปกับพวกเขาด้วย
ปัจจุบันในประเทศญี่ปุ่นมีแฟนชาเขียวตัวยงอย่าง แคทรีนา ไวลด์ ที่เริ่มสนใจในการชงชาในช่วงกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียวเมื่อปี 2021 ก่อนจะได้พบหน้ากับผู้ประกอบการไร่ชาตัวจริงของญี่ปุ่นผ่าน Zoom และได้รับการถ่ายทอดทั้งความรู้และความรักในเรื่องของชา
จนในเวลานี้เธอผ่านการฝึกฝนงานและได้เข้ามาเป็นพนักงานของไร่ชา Obubu Tea Farms
ขณะที่เคนตะ โฮโซอิ เจ้าของ Hosoi Farm หนึ่งในผู้ผลิตชาเขียวในเมืองวาซุกะ ซึ่งอยู่ตอนตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองอูจิอีกที ถ่ายทอดเรื่องราวของชาเขียว เช่น การเก็บเกี่ยวใบชา การคัดเลือกใบชา ลงบน Instagram และได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากคนทั่วโลก
สิ่งที่เคนตะทำได้ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีไม่เพียงต่อแบรนด์ Hosoi และภาพลักษณ์ของชาเขียวของญี่ปุ่นที่ ‘เอาจริงเอาจังในเรื่องของคุณภาพ’
ภาพ: ปวรุตม์ งามเอกอุดมพงศ์ / THE STANDARD LIFE
ภาพลักษณ์นี้ทำให้คนทั่วโลกยังคงเชื่อมั่นและหลงรักชาเขียวจากอูจิ เกียวโต และจังหวัดใกล้เคียง โดยสถิติที่น่าสนใจคือการบริโภคชาเขียวนั้นกระจายไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก โดยมีสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่นำเข้าผงชาเขียวมากที่สุดถึงจำนวน 2,200 ตัน หรือคิดเป็น 44 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณชาเขียวที่ญี่ปุ่นส่งออก ตามมาด้วยเยอรมนี, มาเลเซีย และประเทศไทยในอันดับที่ 4
ถึงชาเขียวจะกลายเป็นกระแสในเวลานี้ แต่ในมุมผู้เชี่ยวชาญอย่าง แซ็ค แมนแกน ผู้ก่อตั้ง Kettl บริษัทนำเข้าชาเขียวในนิวยอร์ก เชื่อว่าการเติบโตของชาเขียวในหัวใจของชาวโลกเป็นเรื่องที่ยั่งยืน
คนที่ดื่มชาเขียวอยู่เดิมนั้นมีอยู่แล้วและเป็นตลาดใหญ่ที่เป็นเอกเทศจากตลาดกาแฟและชา ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคคนละกลุ่ม
คนที่มีใจให้มัทฉะก็จะมีใจให้มัทฉะเสมอ
และใครที่เผลอให้ลิ้นได้เริ่มลิ้มลองมัทฉะแล้ว กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ยากที่จะเปลี่ยนใจแล้ว
ภาพ: Stefan Tomic / Getty Images
อ้างอิง: