ขณะที่โลกการเงินกำลังสับสนกับทิศทางเศรษฐกิจ นโยบายการค้า การเงิน และการคลังสหรัฐฯ พร้อมกัน ล่าสุดก็มีประเด็นสงครามตะวันออกกลางเข้ามาสร้างความปั่นป่วนเพิ่มเข้าไปอีก จนความไม่แน่นอนพุ่งทะยานขึ้นถึงขีดสุด
แต่แทนที่นักลงทุนทั่วโลกจะกลัวการลงทุน มุมมองของเหล่านักบริหารเงินล่าสุดจากรายงาน Fund Manager Survey (FMS) ของ Bank of America กลับพบว่าความกังวลลดลง เนื่องจากตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น
นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่าทุกอย่างจะคลี่คลายในทางบวก และความผันผวนจะไม่จบด้วยกรณีเลวร้ายต่อเศรษฐกิจ และตลาดการเงินโลกต้องสงบสุขในที่สุด
คำถามสำคัญในช่วงครึ่งหลังปี 2025 คือความมั่นใจบนความไม่แน่นอนนี้ จะนำพานักลงทุนไปสู่จุดหมายปลายทางแบบไหนกันแน่
ความไม่แน่นอนแรก คือสงครามการค้าที่คาดว่าจะนำเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ยุค Multipolar World ในที่สุด
ความมั่นใจเกินไปว่าการเจรจาการค้าจะต้องเกิดขึ้นแน่อาจเป็นความเสี่ยง
เพราะอย่างน้อยที่สุดสหรัฐฯ และจีนจะกลายเป็นสองกลุ่มการค้าที่จะแข่งขันกันต่อเนื่อง โอกาสกลับไปสู่โลกเสรี หรือ Globalization มีไม่มาก
สำหรับผลกระทบกับตลาด เหตุการณ์เปรียบเทียบในอดีตที่ใกล้เคียงที่สุด คือช่วงสงครามการค้ารอบแรก ปี 2018 หนึ่งปีให้หลังจากการตั้งกำแพงภาษีใส่กัน ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ทองคำบวกต่อเนื่องจากการเป็น Safe Haven ขณะที่ราคาน้ำมันร่วงตามเศรษฐกิจ และหุ้นโลกปรับตัวลงเล็กน้อย
ผมประเมินว่าความเหมือนในครั้งนี้คือนักลงทุนอาจเลือกถือสินทรัพย์ทางเลือกมากกว่าหุ้นหรือบอนด์ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แต่ความแตกต่างคาดว่าจะเป็นผลกระทบของกำแพงภาษีต่อ Margin ของภาคธุรกิจโดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่มีการเก็บภาษีการค้าสูงสุด
กลยุทธ์รับมือกับความมั่นใจเกินไปในประเด็นการค้าช่วงครึ่งปีหลัง ผมมองไปที่การปรับพอร์ตออกจากธุรกิจที่ต้องพึ่งนโยบายการค้า ไปสู่กลุ่มการผลิตในประเทศ ที่คาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากการลงทุนใหม่ในแต่ละทวีป
ความไม่แน่นอนที่สอง คือสงครามตะวันออกกลาง แทบทุกครั้งเป็นความเสี่ยงระยะสั้น แต่จะกลับตัวมาเร็วแค่ไหนอยู่ที่ภาวะเศรษฐกิจหลังจากนั้น
ภาพสงครามกับตลาดการเงินที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ปัจจุบันมีด้วยกัน 4 ครั้งเช่นวิกฤติ Yom Kippur ปี 1973 สงครามอ่าวปี 1991 สงครามอิรักปี 2003 และความขัดแย้งระหว่าง Hamas–Israel ในปี 2023
ในอดีต ราคาน้ำมันที่เป็นตัวแปรหลักของความผันผวนมักปรับตัวขึ้นก่อนสงคราม และร่วงลงในช่วงหกเดือนหลังจุดเริ่มต้น
ครั้งนี้คล้ายกับปี 1991 มากที่สุด คือตลาดรับข่าวไปก่อนและนักลงทุนหวังให้สงครามจบเร็ว ตลาดดีดตัวกลับ
อย่างไรก็ดี ความแตกต่างสำคัญอยู่ที่ความไม่แน่นอนของประเทศใหญ่อย่างสหรัฐฯ ที่ไม่ได้มีความจำเป็นจะต้องเข้าร่วมเพื่อจบสงคราม ขณะที่พื้นฐานเศรษฐกิจปัจจุบันกำลังสั่นคลอน
อาจต้องเผื่อใจว่าสงครามมีแนวโน้มยืดเยื้อ และความผันผวนสามารถปะทุขึ้นอีกได้ทุกเมื่อ กลยุทธ์รับมือความไม่แน่นอนจากสงครามในรอบนี้ สำหรับผมจึงเป็นการกระจายการลงทุนมากขึ้น และแบ่งส่วนหนึ่งไปที่สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงสงครามอย่างน้ำมันดิบและทองคำ
ความไม่แน่นอนที่สามคือจุดจบของดอลลาร์ แทบทั้งตลาดมองไปทางเดียวกันว่าดอลลาร์ต้องอ่อนค่าในช่วงครึ่งหลังปี 2025 แน่
ผลสำรวจ FMS ชี้ว่าตลาดลดน้ำหนักดอลลาร์มากที่สุดในรอบ 20ปี
ครั้งสุดท้ายที่ตลาดเคยมีมุมมองเชิงลบกับดอลลาร์เท่านี้ ในอดีตคือช่วงปี 2005 ที่สหรัฐฯ ขาดดุลบัญชีการคลังจากการทำสงครามอิรัก นโยบายลดภาษีของ Bush และการกระจายทุนสำรองเข้าสู่สกุลเงินยูโรที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน
ในมุมมองของผม แม้ดอลลาร์อาจอ่อนค่าตามที่ตลาดมั่นใจ แต่ความไม่แน่นอนอยู่ที่ระดับของการอ่อนค่าต่อจากนี้
เพราะถ้ามองจากพื้นฐานและความเสี่ยง ดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่าได้อีกราว 5-10% จากระดับปัจจุบัน แต่ถ้ามองจาก Position ที่ต่ำสุด โอกาสที่ดอลลาร์จะอ่อนไปกว่านี้คาดว่าจะมีไม่มาก หรือครึ่งหลังอาจเป็นจังหวะกลับตัวของดอลลาร์ด้วยซ้ำ
ผมเชื่อว่าประเด็นที่จะกำหนดทิศทางของดอลลาร์ อยู่ที่อัตราดอกเบี้ยเทียบกับความคาดหวัง และความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจสหรัฐฯ
ถ้า Fed สามารถรักษาดอกเบี้ยระดับสูงไว้ได้ ขณะที่กำไรของบริษัทสหรัฐฯ ไม่ได้ชะลอตัวลงเร็ว ดอลลาร์อาจเซอร์ไพรส์ไม่อ่อนค่าในช่วงครึ่งหลังของปีได้เช่นกัน
โดยสรุป ความไม่แน่นอนคือธีมหลักของปี 2025 อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ความมั่นใจว่าตลาดจะกลับมาได้เสมออาจพบกับบททดสอบในช่วงครึ่งปีหลัง
จากประสบการณ์การวิเคราะห์เศรษฐกิจและตลาดการเงินของผม จุดอ่อนสำคัญของการวิเคราะห์บนความไม่แน่นอนสูง คือท้ายที่สุดมักมีเหตุการณ์ใหม่นอกสมการเกิดขึ้นได้อีก
สุดท้าย ตลาดจะกลับสู่ขาขึ้นได้เสมอ แต่จะเกิดขึ้นทันทีในครึ่งหลังของปี 2025 หรือไม่ อีกไม่นานเราจะได้รู้กันครับ
ภาพ: สัดส่วนผู้จัดการการลงทุนโลกต่อมุมมองการถือครองดอลลาร์สหรัฐ
อ้างอิง: BofA Global Fund Manager Survey
ภาพ: Lane Oatey / Blue Jean Images / Shutterstock