เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2565 บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) รายงานกำไรสุทธิ 1Q65 ที่ 1.7 พันล้านบาท ลดลง 3%YoY และ 10%QoQ สูงกว่าคาดเล็กน้อย เพราะมีรายได้ภาษี 188 ล้านบาท (เทียบกับค่าใช้จ่ายภาษี 252 ล้านบาทใน 1Q64) ซึ่งเกิดจากเครดิตภาษีจากส่วนแบ่งขาดทุนที่ Red Lobster และธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็งในสหรัฐฯ และค่าใช้จ่ายภาษีที่ลดลงจากการดำเนินงานที่อ่อนแอลงในยุโรป
หากตัดกำไรพิเศษจำนวน 4 ล้านบาทออกไป พบว่ากำไรปกติ 1Q65 อยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท ลดลง 3%YoY และ 8%QoQ เพราะได้รับผลกระทบจากส่วนแบ่งกำไรที่อ่อนแอลง หลักๆ จาก Red Lobster และส่วนหนึ่งจาก Avanti อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อยอดขายที่สูงขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง ซึ่งไปหักล้างยอดขายที่สูงขึ้น
สำหรับรายการสำคัญใน 1Q65 มีดังนี้
- ยอดขายปรับเพิ่มขึ้น 17%YoY โดยการเติบโต 5% เกิดจากปัจจัยอัตราแลกเปลี่ยน (การอ่อนค่าของเงินบาท) และการเติบโตตามปกติที่ 12% (ปริมาณขายเพิ่มขึ้น 6%YoY และที่เหลือเกิดจากการปรับราคาเพิ่มขึ้น) ยอดขายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงเติบโต 27%YoY โดยเกิดจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งและการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ตามมาด้วยยอดขายผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็ง (เพิ่มขึ้น 14%YoY) โดยเกิดจากราคาขายที่เพิ่มขึ้นและการฟื้นตัวของธุรกิจร้านอาหาร และยอดขายผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป (เพิ่มขึ้น 14%YoY) โดยเกิดจากราคาขายและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น
- อัตรากำไรขั้นต้นลดลงสู่ 17.5% เนื่องจากมาร์จิ้นที่ลดลงในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง (ลดลง 300bps YoY เพราะมาร์จิ้น 1Q64 อยู่ในระดับสูงอันเป็นผลมาจากต้นทุนวัตถุดิบต่ำ) และธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็ง (ลดลง 120bps YoY เพราะต้นทุนค่าขนส่งและวัตถุดิบสูงขึ้น) ไปหักล้างมาร์จิ้นที่สูงขึ้นในธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป (เพิ่มขึ้น 150bps YoY เพราะราคาขายและปริมาณขายปรับตัวดีขึ้น)
- อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อยอดขายเพิ่มขึ้นสู่ 12.9% (เพิ่มขึ้น 120bps YoY) จากต้นทุนค่าขนส่งและต้นทุนการตลาดที่สูงขึ้น
- Red Lobster สร้างกำไรปกติ (ส่วนแบ่งกำไร/ขาดทุน ภาษี และรายได้อื่น ลบด้วยค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย) จำนวน 75 ล้านบาท
กระทบอย่างไร:
ในวันนี้ (วันที่ 10 พฤษภาคม) ราคาหุ้น TU ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.41%DoD สู่ระดับ 17.00 บาท ขณะที่ SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.14%DoD สู่ระดับ 1,622.78 จุด
แนวโน้มผลประกอบการในปี 2565:
เป้าหมายธุรกิจปี 2565 TU ได้ปรับเป้าการเติบโตของยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 7-8%YoY (เทียบกับเป้าที่วางไว้ก่อนหน้านี้ที่ 4-5%YoY) เพื่อสะท้อนการอ่อนค่าของเงินบาท และการปรับราคาผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นเพื่อรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ปรับเป้าอัตรากำไรขั้นต้นลดลงสู่ 17.5-18% (เทียบกับเป้าที่วางไว้ก่อนหน้านี้ที่ 18-18.5%) เนื่องจากต้นทุนสูงกว่าคาด บริษัทตั้งเป้าอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อยอดขายที่ 12-12.5% (เทียบกับเป้าที่วางไว้ก่อนหน้านี้ที่ 12-13%) โดยเกิดจากยอดขายที่สูงขึ้นและค่าระวางเรือที่ลดลงใน 2H65
ด้านส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติจาก Red Lobster บริษัทคาดว่าจะลดลงสู่ -600-700 ล้านบาท เนื่องจากการระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ส่งผลกระทบต่อจำนวนลูกค้าที่มาใช้บริการ ต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี ผลประกอบการใน 2Q65 SCBS คาดว่ากำไรปกติจะอ่อนตัวลง YoY เพราะมาร์จิ้นและส่วนแบ่งกำไรจาก Red Lobster จะลดลงท่ามกลางภาวะต้นทุนสูง และจะอยู่ในระดับทรงตัว QoQ ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงในอัตราแลกเปลี่ยนและต้นทุนวัตถุดิบ