เกิดอะไรขึ้น:
หลังการประชุมนักวิเคราะห์ บมจ.ราชธานีลิสซิ่ง ( THANI ) ย้ำว่าบริษัทคาดว่ายอดปล่อยสินเชื่อใหม่จะเพิ่มขึ้น 20-25% สู่ 2.8-2.9 หมื่นล้านบาท เทียบกับ 1.44 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 22%YoY) ใน 1H65 และคาดว่ายอดสินเชื่อคงค้างจะอยู่ที่ 5.4-5.5 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 9-11%) ณ สิ้นปี 2565
ในช่วง 7M65 ยอดขายรถบรรทุกและรถบัสใหม่ภายในประเทศเพิ่มขึ้น 7%YoY และ THANI คาดว่ายอดขายรถบรรทุกและรถบัสใหม่จะทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 32,000 คัน (เพิ่มขึ้น 4%) ในปี 2565 และ 35,000 คัน (เพิ่มขึ้น 9%) ในปี 2566 ความต้องการรถบรรทุกและรถบัสปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวในภาคการนำเข้าและส่งออก ภาคการค้าชายแดน ภาคการพาณิชย์ และภาคการท่องเที่ยว
ทั้งนี้ สถานการณ์ขาดแคลนรถบรรทุก 10 ล้อและรถบรรทุกหัวลากใหม่ ส่งผลทำให้ความต้องการรถบรรทุก 6 ล้อและรถบรรทุกมือสองปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่อุปทานรถยนต์หรูปรับตัวดีขึ้นหลังจากประสบปัญหาขาดแคลนอุปทานตั้งแต่ปี 2564
ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา THANI เพิ่งเปิดตัวสินเชื่อจำนำทะเบียน โดยตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียน 500-1,000 ล้านบาทในปี 2565 และ 4-5 พันล้านบาทในปี 2566 ด้วยอัตราดอกเบี้ย 15-24% ซึ่งจะช่วยหนุนให้ผลตอบแทนจากการให้สินเชื่อปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่ง SCBS คาดว่าการเติบโตของสินเชื่อจะอยู่ที่ 11% ในปี 2565 และ 12% ในปี 2566
นอกจากนี้ การติดตามหนี้ที่เข้มงวดมากขึ้นส่งผลทำให้อัตราส่วน NPL ลดลง 61 bps QoQ สู่ 2.4%, Credit Cost ลดลง 45 bps QoQ สู่ 0.56% และ LLR Coverage เพิ่มขึ้น 16 ppt QoQ สู่ 117% (สูงกว่าเป้าที่บริษัทวางไว้ที่ 85-90% ในปี 2565 อย่างมาก)
อย่างไรก็ตาม การตั้งสำรองลดลงถูกชดเชยด้วยการเพิ่มขึ้นของ OPEX (เพิ่มขึ้น 15%QoQ และ 41%YoY ใน 2Q65) ที่เกี่ยวข้องกับการติดตามหนี้ (เช่น ค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย และค่าใช้จ่ายในการยึดคืน) บริษัทคาดว่าแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปใน 2H65
SCBS ปรับประมาณการ Credit Cost ลดลง ซึ่งได้รับการชดเชยบางส่วนโดยการปรับประมาณการ OPEX เพิ่มขึ้น สำหรับปี 2565 โดยคาดว่า Credit Cost จะลดลง 45 bps สู่ 0.75% (0.78% ใน 1H65) แต่อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะเพิ่มขึ้น 366 bps สู่ 21.31% (20.84% ใน 1H65)
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น THANI ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.05%MoM สู่ระดับ 4.58 บาท ขณะที่ SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.05%MoM สู่ระดับ 1,617.92 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2565:
SCBS คาดว่า NIM (Net Interest Margin) จะหดตัวลงปีละ 12 bps ในปี 2565 (ผลตอบแทนจากการให้สินเชื่อลดลงจากการมีสัดส่วนสินเชื่อ Fleet สำหรับลูกค้าองค์กรเพิ่มขึ้น) และปี 2566 (ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น)
ทั้งนี้ แม้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ THANI คาดว่าต้นทุนทางการเงินของบริษัทจะยังอยู่ในระดับทรงตัวจนถึงสิ้นปีนี้ ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นใน 1Q66 โดยบริษัทวางแผนเพิ่มสัดส่วนเงินกู้ยืมระยะยาวจาก 60% ณ 2Q65 สู่ 70% ณ 3Q65 และ 80% ณ 4Q65 เพื่อลดผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม SCBS ปรับประมาณการกำไรของ THANI เพิ่มขึ้น 1% ในปี 2565 และ 2% ในปี 2566 (หลักๆ เกิดจากการปรับประมาณการ Credit Cost ลดลง) โดยคาดว่ากำไรจะฟื้นตัวกลับมาเติบโต 14% ในปี 2565 และ 8% ในปี 2566 ขณะที่คาดว่ากำไรจะเติบโตดี YoY แต่จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว QoQ ใน 3Q65 และ 4Q65
สำหรับปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ
1. ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์สืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันสูง ซึ่งจะกระทบ NPL เพิ่มขึ้นและเป็นแรงกดดันให้ตั้งสำรองเพิ่ม
2. ความเสี่ยงด้าน NIM สืบเนื่องมาจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าคาด ขณะที่ THANI วางแผนเปลี่ยนมาใช้แหล่งเงินทุนจากเงินกู้ยืมระยะยาวเพิ่มมากขึ้นเพื่อลดผลกระทบในระยะยาว