เกิดอะไรขึ้น:
บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) เปิดเผยเป้าหมายธุรกิจปี 2565 โดยบริษัทวางแผนเปิดตัวบ้านเดี่ยวในตลาดระดับกลาง-บน 4 โครงการ มูลค่ารวม 7.22 พันล้านบาท (ไม่มีการเปิดตัวในปี 2564) และทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ มูลค่ารวม 2.3 พันล้านบาท (ลดลง 9%YoY) ดังนั้นโครงการเปิดใหม่ทั้งหมดในปีนี้จะมีมูลค่า 9.5 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 273%YoY) เติบโตสูงมาก เนื่องจากบริษัทเลื่อนเปิดตัวบ้านเดี่ยว 1 โครงการ พฤกษ์ภิรมย์ ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ (มูลค่าโครงการ 2.76 พันล้านบาท) จากปี 2564
สำหรับกำหนดการเปิดตัว บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่ 50% ใน 1H65 และอีก 50% ใน 2H65 ซึ่ง SCBS มองบวกเล็กน้อยต่อแผนเปิดตัวโครงการของ QH เนื่องจากมูลค่าการเปิดตัวโครงการที่สูงกว่าปีก่อนจะช่วยสนับสนุนให้บริษัททำยอดขายได้ตามเป้า และโครงการที่วางแผนเปิดตัวในปี 2565 มีต้นทุนวัสดุก่อสร้างต่ำอยู่บางส่วน
ด้านยอดขาย QH ตั้งเป้ายอดขายปี 2565 เติบโต 23% สู่ 9.2 พันล้านบาท สูงที่สุดในรอบ 4 ปี โดย 90% เกิดจากโครงการแนวราบ (เพิ่มขึ้น 18%YoY) และ 10% เกิดจากคอนโด (เพิ่มขึ้น 81%YoY) การเปิดตัวโครงการคอนโดครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 2558 ซึ่งหมายความว่ายอดขายคอนโดมาจากสต๊อกคงค้างในปัจจุบันจาก 14 โครงการ มูลค่ารวม 1.24 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ SCBS ใช้สมมติฐานว่าอัตรากำไรขั้นต้นของคอนโดที่มีสต๊อกคงค้าง 13 โครงการอยู่ในช่วง 20-22% ขณะที่โครงการ ‘คิว สุขุมวิท’ ซึ่งเป็นโครงการระดับลักชัวรีที่มีสต๊อกคงค้างมูลค่า 8.6 ล้านบาท (70% ของมูลค่าสต๊อกคงค้างทั้งหมด) สมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นที่ 33-35% ถ้า QH เปิดตัวโครงการใหม่ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งมองว่ามีโอกาสสูงที่บริษัทจะทำยอดขายได้สำเร็จตามเป้า
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น QH ปรับลดลง 0.86%MoM อยู่ที่ระดับ 2.30 บาท ขณะที่ SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.27%MoM สู่ระดับ 1,684.37 จุด
มุมมองระยะสั้น:
SCBS คาดว่ากำไร 1Q65 จะเติบโต YoY แต่จะอยู่ในระดับทรงตัว QoQ ในขณะที่มองว่า QH ด้อยกว่าคู่แข่งในแง่การฟื้นตัวของธุรกิจหลัก โดยปัจจัยบวกเพียงอย่างเดียวจะมาจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทย่อย ซึ่งคาดว่าจะคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 77% ของกำไร แม้คาดว่า QH จะฟื้นตัวในปีนี้ โดยได้รับการสนับสนุนจากยอดขาย การเปิดตัวโครงการใหม่ และธุรกิจให้เช่า แต่ปัจจัยบวกเหล่านี้สะท้อนในราคาหุ้นไปเรียบร้อยแล้ว และมองว่าปัจจุบันราคาหุ้น Valuation แพง และมี Upside จำกัด
มุมมองระยะยาว:
SCBS ประเมินรายได้ปี 2565 ไว้ที่ 9.26 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14.1%YoY) โดยคาดว่า QH จะรับรู้รายได้จาก Backlog จำนวน 792 ล้านบาทภายในปีนี้ หรือคิดเป็น Secured Revenue ที่ 10% สมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นที่ 30.4% เพิ่มขึ้นจาก 29.8% ในปี 2564 โดยเกิดจากการมีสัดส่วนยอดขายจากโครงการใหม่เพิ่มมากขึ้นและรับรู้รายได้ภายในปีและรายได้จากธุรกิจให้เช่าที่ปรับตัวดีขึ้น
ดังนั้นปี 2565 คาดการณ์กำไรสุทธิที่ 2.23 พันล้านบาท (40%YoY) ในขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทย่อย (HMPRO, LHGF, QHPF และ QHHR) ซึ่งรวมกันจะคิดเป็นสัดส่วน 77% ของกำไรสุทธิ คาดว่าจะเติบโต 24%YoY
สำหรับปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ คือ 1. มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยมาตรการนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ทั้งกับผู้ประกอบการและผู้ซื้อ แต่มีข้อกำจัดคือใช้ได้เฉพาะกับบ้านราคาจับต้องได้ หรือไม่เกิน 3 ล้านบาท และ 2. การผ่อนคลายเพดาน LTV ซึ่งจะส่งผลบวกต่อกลุ่มที่อยู่อาศัย คือ 1. ช่วยหนุนให้โครงการเปิดใหม่เพิ่มขึ้น 10-15% ในปี 2565 2. ช่วยระบายสต๊อกคอนโด และ 3. เปิดโอกาสให้ปรับราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นในปี 2565
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP