เกิดอะไรขึ้น:
บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ประกาศว่าธุรกิจ Performance Chemical ภายใต้ Vencorex ในฝรั่งเศสเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างทางธุรกิจในชั้นศาลตามกฎหมายของประเทศฝรั่งเศส (Book VI of the French Commercial Code) โดยประกอบด้วยบริษัทย่อย 2 แห่ง คือ Vencorex France และ Vencorex TDI ซึ่งถือหุ้นโดย Vencorex Holdings ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ PTTGC ถือหุ้นทั้งหมด
การปรับปรุงโครงสร้างทางธุรกิจในชั้นศาลจะใช้เวลาราว 3-4 เดือนจึงจะแล้วเสร็จ แต่ PTTGC จะบันทึกรายการด้อยค่าของสินทรัพย์จำนวน 8 พันล้านบาทใน 3Q67 พร้อมกับตั้งสำรองสำหรับค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโครงสร้างทางธุรกิจจำนวน 1 พันล้านบาท
ทั้งนี้ แม้ว่าจะใช้ความพยายามอย่างหนัก ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงการดำเนินงาน การเจรจาสัญญาใหม่ และการปรับโครงสร้างโมเดลธุรกิจ แต่บริษัททั้งสองแห่งนี้ก็ยังไม่สามารถพลิกฟื้นกลับมาได้ เนื่องจากต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงและต้นทุนพลังงานที่สูงในยุโรป ธุรกิจ HDI (ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง) ของ Vencorex ในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาจะยังคงดำเนินต่อไปโดยใช้วัตถุดิบที่จัดหาจากที่อื่นแทนการนำเข้าจากโรงงานในฝรั่งเศส การขายธุรกิจเหล่านี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2567
ในการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อเดือนสิงหาคม ผู้บริหารกล่าวว่า บริษัทมีการปรับพอร์ตธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากภูมิทัศน์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป โดยมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่กำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน นอกจาก Vencorex แล้ว InnovestX Research คาดว่าจะมีการพิจารณาสินทรัพย์เพิ่มเติมอีก 2-3 รายการ รวมถึง PTTAC (~9 พันล้านบาท) โดยคาดว่าจะมีการบันทึกค่าใช้จ่ายด้อยค่าไม่เกิน 1.1 หมื่นล้านบาทใน 4Q67 แม้ว่ารายการพิเศษจะส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิ แต่ผู้บริหารคาดว่าการปรับปรุงโครงสร้างทางธุรกิจครั้งนี้จะส่งผลกระทบเชิงบวก
สำหรับ Vencorex เพียงบริษัทเดียว ผู้บริหารคาดว่าจะมีผลกระทบเชิงบวกต่อกำไรสุทธิ 4 พันล้านบาทในปี 2568 เนื่องจากจะไม่มีการรับรู้ผลขาดทุนจาก Vencorex (อิงกับขาดทุนสุทธิ 56 ล้านยูโร หรือ 2 พันล้านบาทใน 1H67) ในขณะที่คาดว่าส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจของ Vencorex ในประเทศไทยและสหรัฐฯ จะมีจำนวนน้อยมาก
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น PTTGC ปรับขึ้น 14.3% สู่ระดับ 26.75 บาท ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 9.1% สู่ระดับ 1,415.41 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2567:
แม้ว่าอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงและความไม่สมดุลของอุปทานในตลาดปิโตรเคมีจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจปิโตรเคมีอย่างต่อเนื่อง แต่คาดว่ากำไรปกติจะปรับตัวดีขึ้น HoH ใน 2H67 จากการฟื้นตัวของ GRM โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ Middle Distillate นอกจากนี้ อุปทานอีเทนที่เพิ่มขึ้นจาก PTT ก็จะช่วยสนับสนุนให้ความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มธุรกิจโอเลฟินส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่แหล่งเอราวัณผลิตก๊าซเต็มกำลัง
อย่างไรก็ตาม กำไรปกติ 2H67 ไม่น่าจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายครั้งเดียว และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงโครงสร้างทางธุรกิจจำนวน 2 หมื่นล้านบาท ดังนั้น จึงปรับประมาณการปี 2567 ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 7.5 พันล้านบาท เป็นขาดทุนสุทธิ 1.25 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ InnovestX Research ยังปรับราคาเป้าหมาย (สิ้นปี 2567) ลดลงจาก 35 บาท เป็น 32 บาทต่อหุ้น อ้างอิง P/BV 0.5 เท่า (ปี 2567) หรือ -1.5SD โดยคิดเป็น EV/EBITDA ที่ 7.2 เท่า (2024F) เทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 9 เท่า ซึ่งยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ > 10 เท่า
โดยเชื่อว่าความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้จะช่วยปลดล็อก Overhang ที่มีต่อราคาหุ้นของ PTTGC และ Valuation ไม่แพงที่ P/BV (ปี 2567) เพียง 0.4 เท่า และคงคำแนะนำ Outperform
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือ
- ราคาน้ำมันดิบและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ผันผวนของธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจปิโตรเคมี
- ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น โดยมีสาเหตุมาจากวัตถุดิบก๊าซที่ลดลง
- รายการด้อยค่าของสินทรัพย์
- การเปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (< 3% ของกำลังการผลิต)
- การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาลในการจัดสรรอุปทานก๊าซภายในประเทศให้แก่ธุรกิจปิโตรเคมี
ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญคือ ผลกระทบของธุรกิจต่อสิ่งแวดล้อม และการปรับตัวในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและเศรษฐกิจหมุนเวียน