เกิดอะไรขึ้น:
การขยายจำนวนเตียงจะช่วยผลักดันการเติบโตในระยะยาวสำหรับโรงพยาบาลภายใต้การวิเคราะห์ของ InnovestX Research (BCH, BDMS, BH, CHG และ RJH) จำนวนเตียงจะเพิ่มขึ้นจาก 12,715 เตียงในปี 2566 เป็น 15,553 เตียงในระยะยาว (ปี 2570 เป็นต้นไป) หรือเพิ่มขึ้น 22% โดยจำนวนเตียงที่เพิ่มขึ้นนี้จะมาจากการขยายโรงพยาบาลเดิม การสร้างโรงพยาบาลใหม่ และการเปิดศูนย์เฉพาะทางเพิ่ม เช่น ศูนย์มะเร็ง และศูนย์สุขภาพเชิงป้องกัน
พื้นที่ EEC เป็นพื้นที่เป้าหมายในการขยายจำนวนเตียง โดย InnovestX Research มีมุมมองเชิงบวกต่อความต้องการใช้บริการทางการแพทย์ที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และไม่คิดว่าจะเกิดการแข่งขันที่รุนแรงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากจำนวนเตียงในพื้นที่ดังกล่าวมีน้อย BH เป็นข้อยกเว้น โดยบริษัทกำลังขยายเครือข่ายโรงพยาบาลออกไปยังจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมองว่าการแข่งขันจะเป็นความท้าทาย เนื่องจาก BDMS มีสถานะที่แข็งแกร่งในจังหวัดภูเก็ต
สำหรับบริการ SC ใน 2H67 มองว่า การดำเนินงานและกำไรของโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมให้บริการประกันสังคม (SC) จะเผชิญ Overhang จากโอกาสที่งบประมาณสำหรับค่ารักษาพยาบาลโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) ในปี 2567 อาจจะไม่เพียงพอ โดยโรงพยาบาลบางแห่ง เช่น BCH จะบันทึกรายได้ SC สำหรับค่ารักษาพยาบาลโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) ในอัตราที่ลดลงตามหลักความระมัดระวังจาก 12,000 บาทต่อ RW เป็น 7,200 บาทต่อ RW ใน 4Q67 และการรับรู้รายได้ที่ลดลงนี้จะกดดันให้รายได้และกำไรปกติลดลงทั้ง YoY และ QoQ
ในขณะที่ CHG และ RJH ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนการรับรู้รายได้ใน 4Q67 เมื่อใช้สมมติฐานว่ามีการบันทึกรายได้ SC ในอัตราที่ลดลงตามที่กล่าวไว้ข้างต้น โดยประเมินว่ากำไรของ CHG และ RJH จะมี Downside ราว 5-6% และมองว่าผลกระทบต่อ BDMS จะมีจำกัด เนื่องจากบริการ SC คิดเป็นสัดส่วนเพียง ~2% ของรายได้ ต่ำกว่า RJH ที่คิดเป็น 51% ของรายได้, BCH ที่ 33% และ CHG ที่ 29%
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มการแพทย์ (SETHELTH) ปรับขึ้น 11% ราคาหุ้น BDMS ปรับขึ้น 14% ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 10%
แนวโน้มผลประกอบการปี 2567:
InnovestX Research ประเมินกำไรปกติของกลุ่มการแพทย์จะเติบโตที่ CAGR 7% ในปี 2567-2569 โดยชอบ BDMS เนื่องจาก
1. กำไรระยะสั้นแข็งแกร่ง – คาดว่ากำไรปกติ 3Q67 จะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
2. กำไรระยะยาวแข็งแกร่ง – คาดว่ากำไรปกติจะเติบโตที่ CAGR 8% ในปี 2567-2569 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม
3. Valuation ไม่แพง – ใน 3Q67TD ราคาหุ้น BDMS ปรับตัวขึ้นมา 12% ใกล้เคียงกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของ SET แต่ซื้อขายที่ P/E 2567 ระดับ 29 เท่า ใกล้เคียงระดับ -2SD ของ P/E เฉลี่ยในอดีต
ใน 3Q67TD หุ้นโรงพยาบาลที่ให้บริการ SC คือ CHG ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% BCH ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1% แต่ RJH ปรับตัวลดลง 6% ให้ผลตอบแทนน้อยกว่า SET BDMS และ BH เพราะถูกฉุดรั้งโดย Overhang จากบริการ SC มองว่าปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นจะมาจากข้อสรุปเกี่ยวกับการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) ระหว่างโรงพยาบาลเอกชนกับสำนักงานประกันสังคม ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนใน 4Q67
ในกลุ่มนี้ ชอบ BCH เนื่องจากกำไรมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งกว่าผู้ประกอบการโรงพยาบาลที่ให้บริการ SC รายอื่นๆ โดยที่คาดว่ากำไรปกติจะเติบโตที่ CAGR 13% ในปี 2567-2569 และประมาณการกำไรมี Downside น้อยกว่า รวมถึงปัจจุบันหุ้น BCH ซื้อขายที่ P/E ปี 2567 ระดับ 29 เท่า ใกล้เคียงระดับ -1SD ของ P/E เฉลี่ยในอดีต
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งจะส่งผลกระทบทำให้ผู้ป่วยชะลอการเข้าใช้บริการ การดำเนินงานที่อ่อนแอของโรงพยาบาลที่เปิดใหม่ การแข่งขันรุนแรง การขาดแคลนบุคลากร และความเสี่ยงด้านกฎหมายสำหรับกลุ่มการแพทย์
ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญคือ ความปลอดภัยของผู้ป่วย (S) ซึ่ง BCH, BDMS, BH, CHG และ RJH นำเอาระบบบริหารคุณภาพต่างๆ มาใช้สำหรับกระบวนการดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง