เกิดอะไรขึ้น:
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในปี 2564 ที่ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดเครื่องสำอาง บวกกับข้อจำกัดเกี่ยวกับช่องทางการจัดจำหน่ายสืบเนื่องมาจากเคอร์ฟิว สร้างแรงกดดันต่อผลประกอบการปี 2564 โดย บมจ.โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล (KISS) รายงานกำไรสุทธิร่วงลงสู่ 119 ล้านบาท (ลดลง 29%YoY) เพราะรายได้ลดลง 20%YoY สู่ระดับต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี โดยยอดขายลดลงในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (ลดลง 50%YoY) ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง (ลดลง 20%YoY) และผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (ลดลง 16%YoY) อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 58.6% ในปี 2563 สู่ 53.6% ในปี 2564
สำหรับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์จากกัญชง ใน 4Q64 KISS เปิดตัวผลิตภัณฑ์จากกัญชง 3 รายการ คือ แผ่นมาส์กบำรุงผิว และเครื่องสำอางอีก 2 รายการ แม้กระแสตอบรับเป็นไปตามคาด แต่ในปี 2565 KISS จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เกี่ยวกับกัญชงและ CBD เพียง 2-3 รายการ แทนที่จะเปิดตัวอย่างน้อย 10 รายการตามที่วางแผนไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากบริษัทประเมินว่าผู้บริโภคต้องการเวลามากขึ้นในการทำความเข้าใจคุณภาพของส่วนผสมหลักสองอย่างข้างต้น
ส่วนการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ในหมวดดูแลสุขภาพ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2565 KISS ได้เข้าลงทุนใน บริษัท ไฮไบโอไซ จำกัด (HIB) ด้วยเงินลงทุน 10.2 ล้านบาท เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพสำหรับป้องกันหรือยับยั้งเชื้อไวรัสโควิด คือ ผลิตภัณฑ์สเปรย์พ่นจมูกที่มีแอนติบอดีจากมนุษย์ที่จำเพาะต่อเชื้อโควิด KISS คาดว่าจะได้รับรายได้จากผลิตภัณฑ์นี้จำนวน 80-150 ล้านบาทใน 2H65 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 500 ล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่ง SCBS เล็งเห็นศักยภาพของผลิตภัณฑ์นี้ แต่ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับราคาขายและช่องทางการจัดจำหน่าย
กระทบอย่างไร:
วันนี้ (11 มีนาคม) ณ เวลา 12.30 น. ราคาหุ้น KISS ปรับตัวลดลง 0.66%DoD สู่ระดับ 7.50 บาท
มุมมองระยะสั้น:
SCBS ปรับ Tactical Call สำหรับ KISS ลดลงสู่ Underperform ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ 6.90 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่าอุปสงค์ในประเทศจะฟื้นตัวช้าในปี 2565 เพราะได้รับแรงกดดันอย่างหนักจากเงินเฟ้อ ประกอบกับผลิตภัณฑ์หลักของ KISS ไม่ใช่สินค้าจำเป็น อีกทั้งบริษัทยังเลื่อนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ออกไป และมี Downside จากต้นทุนการผลิต
มุมมองระยะยาว:
SCBS ปรับประมาณการรายได้ปี 2565 ลดลง 37% สู่ 945 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 22%YoY) จากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวช้า โดยใช้สมมติฐานว่าอุปสงค์จะฟื้นตัวช้าที่สุด รายได้เพียงอย่างเดียวที่ใช้สมมติฐานว่าจะเติบโตจากฐานต่ำ คือ รายได้จากต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเติบโต 52%YoY สู่ 145 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะมาจากอินโดนีเซียและเวียดนาม
ขณะที่ปรับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 59.7% สู่ 53.2% จากต้นทุนวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ที่สูงขึ้นและการจัดรายการส่งเสริมการขายเชิงรุก ตัวฉุดรั้งกำไรอีกอย่างหนึ่ง คือ ส่วนแบ่งกำไรจาก JV ซึ่งก่อนหน้านี้ได้คาดการณ์กำไรไว้ที่ 45 ล้านบาท แต่หลังจากมีการเลื่อนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ออกไปพร้อมกับการโฆษณาทำการตลาดอย่างเข้มข้น จึงคาดการณ์ส่วนแบ่งขาดทุนจาก JV ที่ 3 ล้านบาทแทน ดังนั้นจึงทำให้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ลดลง 52% จากประมาณการเดิมสู่ 138 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 16%YoY)
ส่วนปัจจัยเสี่ยงและความกังวลที่ต้องติดตาม คือ 1. ต้นทุนการผลิต แม้ KISS ใช้โรงงาน OEM (Original Equipment Manufacturer) ในเกาหลีสำหรับผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท แต่ต้นทุนการขนส่งและอัตราแลกเปลี่ยนยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยง 2. การเลื่อนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และ 3. การตัดจำหน่ายสินค้าที่หมดอายุ
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP