เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 บมจ. กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) รายงานกำไรสุทธิ 3Q67 ที่ 6 พันล้านบาท เป็นไปตามคาด โดยได้แรงหนุนจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 1.3 พันล้านบาท หากหักรายการพิเศษออกพบว่ากำไรปกติยังคงแข็งแกร่งที่ 4.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.1%YoY โดยได้รับการสนับสนุนจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจาก GPD หน่วยผลิตที่ 2 (COD: ตุลาคม 2566) และ GPD หน่วยผลิตที่ 3 (CPD: มีนาคม 2567) ผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นที่ GULF 1 และส่วนแบ่งกำไรที่สูงขึ้นจาก HKP หน่วยผลิตที่ 1 (COD: มีนาคม 2567) และ INTUCH
อย่างไรก็ดี กำไรปกติลดลง QoQ จากผลการดำเนินงานและกำไรของธุรกิจ IPP ที่ลดลงตามฤดูกาล ซึ่งคาดว่ากำไร 4Q67 จะเติบโตต่อเนื่องสู่ระดับที่ทำสถิติสูงสุดอีกครั้งจากการรับรู้กำไรจาก GPD หน่วยผลิตที่ 4 (662.5MW, ถือ 70%) ซึ่งเริ่มเดินเครื่องช่วงต้นเดือนตุลาคม นอกจากนี้ กำไรยังจะได้รับการสนับสนุนจากการทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโซลาร์ฟาร์ม (870MW) และโซลาร์ฟาร์มร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (1,668MW)
การควบรวมกิจการกับ INTUCH จะส่งผลดีต่อบริษัท เนื่องจากจะทำให้ NewCo มีความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น และมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งมากขึ้น NewCo จะมีงบดุลที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนจะลดลงจาก 1.7 เท่ามาอยู่ที่ 0.9 เท่าใน 1Q68 หลังจากการควบรวมกิจการเสร็จสิ้น เนื่องจาก INTUCH มีสถานะปลอดหนี้ การควบรวมกิจการน่าจะทำให้บริษัทมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ในประเทศจำนวนมากของรัฐบาล ได้แก่ โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรอบที่ 2 (3.6GW) และ PDP2024 (32GW ในส่วนของพลังงานหมุนเวียน)
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาหุ้น GULF ปรับลง 4.63% สู่ 61.75 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 1.36% สู่ 1,444.81 จุด
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:
แม้ราคาหุ้น GULF ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 45% ตั้งแต่ต้นปี แต่คาดว่า Sentiment จะปรับตัวดีขึ้นจากการเริ่มวงจรอัตราดอกเบี้ยขาลงทั่วโลก ซึ่งจะส่งผลดีต่อกลุ่มสาธารณูปโภคที่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ทำให้จำเป็นต้องจัดหาเงินทุนด้วยการกู้ยืมค่อนข้างสูง (ปกติแล้วสัดส่วนหนี้สินต่อทุนจะอยู่ที่ 3 ต่อ 1)
ปัจจุบันหุ้น GULF ซื้อขายที่ P/E ปี 2567 เพียง 40.5 เท่า หรือ -0.5 SD ของ P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี InnovestX Research ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อความแข็งแกร่งของผลประกอบการในระยะ 1-2 ปีข้างหน้าของ GULF และคงแนะนำ Outperform โดยให้ราคาเป้าหมายกลางปี 2568 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 70 บาทต่อหุ้น (WACC 4.7% และ Terminal Value 1.5%)
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการใหม่ต่ำกว่าคาด แต่ประวัติผลงานที่ดีเยี่ยมของ GULF ในการพัฒนาโครงการให้แล้วเสร็จตามกำหนดและเป็นไปตามงบประมาณที่วางไว้จะช่วยลดความเสี่ยงนี้ รวมถึงยอดขายไฟฟ้าและไอน้ำของโครงการโรงไฟฟ้า SPP ให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม อาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอและต้นทุนเชื้อเพลิงสูง และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญคือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
นักลงทุนสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
- GULF – 3Q67 แข็งแกร่งจากการขยายกำลังการผลิตและกำไร FX: