เกิดอะไรขึ้น:
ใน 2Q66TD ยอดขายของ บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) เติบโต YoY ในอัตราชะลอตัวลง เมื่อพิจารณาจากการเติบโตของยอดขายสาขา (SSS) ที่ชะลอตัวลงใน 2Q66TD ท่ามกลางการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง CRC คาดว่ายอดขายปี 2566 จะยังคงเติบโต แต่จะอยู่บริเวณกรอบล่างของเป้าการเติบโตของยอดขายปี 2566 ที่บริษัทวางไว้ก่อนหน้านี้ที่ 12-15%YoY
ทั้งนี้ ใน 2Q66TD SSS เติบโต 5%YoY (เทียบกับ 13.1%YoY ใน 1Q66) เนื่องจากยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในไทยและอิตาลีถูกลดทอนลงบางส่วน โดยยอดขายที่หดตัวลงในเวียดนาม ประเทศไทย (69% ของยอดขาย) SSS เติบโต 5%YoY ใน 2Q66TD (เทียบกับ 16%YoY ใน 1Q66) โดยได้แรงหนุนจากยอดขายที่เติบโตในอัตราเลขสองหลักในกลุ่มแฟชั่นและยอดขายที่เติบโตในอัตราเลขตัวเดียวระดับต่ำถึงระดับกลางในกลุ่มฟู้ดและกลุ่มฮาร์ดไลน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว แม้ว่าจะไม่มียอดขายจากมาตรการช้อปดีมีคืนเหมือนวันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ มาสนับสนุน
สำหรับปี 2566 CRC ยังคงแผนขยายสาขาสำหรับร้านรูปแบบขนาดใหญ่อื่นๆ แต่ปรับแผนขยายสาขาสำหรับไทวัสดุเพิ่มขึ้นเป็น 14 สาขา (จากเดิม 10 สาขา ตั้งเป้าเปิดสาขาในทำเลที่ตั้งใหม่นอกเหนือจากกรุงเทพฯ และภาคกลาง) อิตาลี (7% ของยอดขาย) SSS เติบโต 25-30%YoY ใน 2Q66TD (เทียบกับ 37%YoY ใน 1Q66) โดยได้แรงหนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากปรับปรุงสาขาครั้งใหญ่แล้วเสร็จในปี 2565
เวียดนาม (24% ของยอดขาย) SSS หดตัวลง 8-9%YoY ใน 2Q66TD (เทียบกับลดลง 1%YoY ใน 1Q66) เพราะได้รับผลกระทบจากยอดขายกลุ่มฮาร์ดไลน์ที่ลดลง YoY อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 1Q66 และยอดขายกลุ่มฟู้ดที่เริ่มหดตัว YoY จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับความอ่อนแอของตลาด CRC จึงปรับแผน โดยจะปรับปรุงการจัดการสต๊อก ควบคุมมาร์จิ้น และเปลี่ยนมาโฟกัสที่การปรับปรุงสาขาเดิมโดยไม่มีการขยายสาขาในกลุ่มฮาร์ดไลน์ และเลื่อนการขยายสาขารูปแบบขนาดใหญ่ในกลุ่มฟู้ดออกไปเป็นปี 2567
ในปี 2566 CRC ยังคงเป้าอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น 50bpsYoY โดยได้แรงหนุนจากมาร์จิ้นที่กว้างขึ้นในกลุ่มแฟชั่นเป็นหลัก จากการมีสัดส่วนยอดขายสินค้าที่ให้มาร์จิ้นสูงเพิ่มมากขึ้นและการปรับส่วนลดให้เหมาะสมและกลุ่มฮาร์ดไลน์เป็นบางส่วน ซึ่งจะช่วยชดเชยมาร์จิ้นที่แคบลงเล็กน้อยในกลุ่มฟู้ดจากมาร์จิ้นที่อ่อนแอลงในเวียดนามและที่ร้านรูปแบบใหม่
ด้านอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A / ยอดขาย ในปี 2566 บริษัทยังคงเป้าไว้ที่ระดับต่ำกว่า 28% (ไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2565 เทียบกับ 26.9% ใน 1Q66) โดยรวมเอาค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเกี่ยวกับร้านรูปแบบใหม่ในกลุ่มฟู้ด (วางแผนประกาศอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคม 2566) ต้นทุนค่าสาธารณูปโภคที่ลดลงในไทยและอิตาลีในช่วงปลายปี 2566 และแผนปรับปรุงประสิทธิภาพของบริษัทเข้ามาด้วย
สำหรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล เมื่อพิจารณาจากนโยบายค่าแรงและค่าไฟฟ้าตามที่พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งวางแผนไว้ InnovestX Research ประเมินได้ว่า นโยบายดังกล่าวจะส่งผลกระทบด้านลบสุทธิ 2% ต่อกำไรของ CRC: กำไรที่ลดลง 6% จากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะได้รับการชดเชยจากกำไรที่เพิ่มขึ้น 4% จากการลดค่า Ft โดยที่ยังไม่รวมยอดขายที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากกำลังซื้อที่มากขึ้นของผู้มีรายได้ต่ำเข้ามา ในขณะที่จะต้องติดตามประเด็นการยกเลิกการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมต่อไป
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น CRC ปรับลดลง 8.93%MoM อยู่ที่ระดับ 38.25 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 2.97%MoM อยู่ที่ระดับ 1,485.32 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2566:
ราคาหุ้น CRC ปรับตัวลดลง 16% Underperform SET อยู่ 10% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนความกังวลของตลาดเกี่ยวกับเศรษฐกิจเวียดนามชะลอตัว ทั้งนี้ แม้ว่ายอดขายในเวียดนาม (24% ของยอดขาย) จะลดลง แต่ยอดขายสาขา (SSS) ของ CRC เติบโต 5%YoY ใน 2Q66TD โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของยอดขายในไทยและอิตาลี
โดยคาดว่ากำไรปกติ 2Q66 ของ CRC จะเติบโต YoY อันเป็นผลมาจากยอดขายจากธุรกิจค้าปลีกและรายได้จากการให้บริการเช่าที่เพิ่มขึ้นและมาร์จิ้นที่กว้างขึ้น แต่จะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ส่วนปี 2566 คาดว่ากำไรปกติจะเติบโต (เพิ่มขึ้น 23%YoY) โดยได้รับการสนับสนุนจากยอดขายที่ปรับตัวดีขึ้นและมาร์จิ้นที่กว้างขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
กลยุทธ์การลงทุนยังคงเรตติ้ง Outperform สำหรับ CRC ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 อ้างอิงวิธี DCF (WACC 7.1% และอัตราการเติบโตระยะยาวที่ 2.5%) ที่ 52 บาทต่อหุ้น
สำหรับความเสี่ยงที่ต้องติดตามคือ การเปลี่ยนแปลงในด้านกำลังซื้อและต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายของรัฐบาลใหม่