×

CPALL – ปลดล็อก Overhang จากโอกาสซื้อกิจการ

02.03.2025
  • LOADING...
CPALL

เกิดอะไรขึ้น:

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) รายงานกำไรสุทธิ 4Q67 อยู่ที่ 7.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% YoY และ เพิ่มขึ้น 28% QoQ สูงกว่าตลาดคาด 9% จากกำไรพิเศษจำนวน 269 ล้านบาท (ส่วนใหญ่เป็นกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน) และค่าใช้จ่าย SG&A และรายได้อื่นที่ดีกว่าคาด 

 

กำไรปกติ 4Q67 อยู่ที่ 6.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% YoY และ เพิ่มขึ้น 12% QoQ สูงกว่าตลาดคาด 5% โดยเพิ่มขึ้น YoY จากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นที่ธุรกิจ CVS และส่วนแบ่งกำไรจาก CPAXT ที่ดีขึ้น (เพิ่มขึ้น 22% YoY) และเพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล CPALL ประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2567 ที่ 1.35 บาทต่อหุ้น (XD วันที่ 6 พฤษภาคม)  

 

รายการที่สำคัญเกี่ยวกับธุรกิจ CVS: ยอดขายสาขา (SSS) เติบโต 4% YoY จำนวนลูกค้าโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 970 คนต่อสาขาต่อวัน (เพิ่มขึ้น 1% YoY) และยอดซื้อต่อบิลอยู่ที่ 86 บาท (เพิ่มขึ้น 3% YoY) ทั้งนี้จากยอดขายทั้งหมด 76.3% เกิดจากสินค้ากลุ่มอาหาร (เพิ่มขึ้น 80bps YoY ได้แรงหนุนจากยอดขายอาหารพร้อมทาน (RTE) ที่ดีขึ้น) และ 23.7% เกิดจากสินค้ากลุ่มที่ไม่ใช่อาหาร

 

ใน 4Q67 CPALL เปิดสาขาเพิ่ม 192 สาขา ในประเทศไทย ส่งผลทำให้จำนวนสาขาสุทธิอยู่ที่ 15,245 สาขา ณ สิ้น 4Q67 เพิ่มขึ้น 5% YoY และ เพิ่มขึ้น 1% QoQ 

 

บริษัทเปิดสาขาในต่างประเทศเพิ่ม 15 สาขา ส่งผลทำให้จำนวนสาขาสุทธิในต่างประเทศอยู่ที่ 122 สาขา (112 สาขาในกัมพูชา และ 10 สาขาในลาว) เพิ่มขึ้น 44% YoY และ เพิ่มขึ้น 14% QoQ อัตรากำไรขั้นต้น จากการผสมผสานของสินค้าภายในร้านเพิ่มขึ้นสู่ 27.7% (เพิ่มขึ้น 80bps YoY, ทรงตัว QoQ) ซึ่งเป็นผลมาจากมาร์จิ้นของสินค้ากลุ่มอาหารที่สูงขึ้น (เพิ่มขึ้น 60bps YoY จากการมียอดขายอาหารพร้อมทานที่ให้มาร์จิ้นสูงเพิ่มมากขึ้น) และมาร์จิ้นของสินค้ากลุ่มที่ไม่ใช่อาหารที่สูงขึ้น (เพิ่มขึ้น 110bps YoY จากยอดขายสินค้ากลุ่มของใช้ส่วนตัว ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ และของใช้ในครัวเรือนที่ให้มาร์จิ้นสูงที่เพิ่มขึ้น)

 

ใน 1Q68TD InnovestX Research ประเมินว่า SSS จากธุรกิจ CVS และ CPAXT จะยังคงเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำ YoY โดยได้แรงหนุนจากยอดขายที่ดีขึ้นจากสินค้ากลุ่ม RTE (ธุรกิจ CVS) และอาหารสด (CPAXT) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ค่อนข้างทรงตัว YoY ด้วย SSS และมาร์จิ้นที่ปรับตัวดีขึ้น กำไร 1Q68 ของ CPALL จึงมีแนวโน้มที่จะเติบโต YoY และจะอยู่ในระดับทรงตัวหรือเพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล 

 

ประมาณการยังไม่รวม upside จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล (ถ้ามี) เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต (เฟส 3) ซึ่งการวิเคราะห์ความอ่อนไหวบ่งชี้ว่า SSS ที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 1%  ในธุรกิจ CVS และ CPAXT จะช่วยหนุนให้กำไรของ CPALL ปรับเพิ่มขึ้นได้ 1%

 

เมื่อวันที่ 30 มกราคม NHK ได้รายงานในเบื้องต้นว่าครอบครัวผู้ก่อตั้ง Seven & i กำลังขอให้ CP group เข้าร่วมลงทุนซื้อกิจการของบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นที่ชื่อว่า Seven & i Holdings ข่าวนี้ทำให้ตลาดเกิดความกังวลว่า CPALL อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับดีลนี้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อโครงสร้างทางการเงินและผลประกอบการของบริษัทจากการมีหนี้สิน/ดอกเบี้ยจ่ายที่สูงอันเป็นผลมาจากการจัดหาเงินทุนจำนวนมากมาสนับสนุนดีลขนาดใหญ่ดังกล่าว ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อราคาหุ้น CPALL ตลอดช่วงเวลาที่มีข่าวนี้ 

 

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ (หลังตลาดปิด) CPALL ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่าบริษัทไม่มีความประสงค์ที่จะเข้าร่วมลงทุนในบริษัทค้าปลีกของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมองว่าการออกมายืนยันนโยบายของบริษัทอาจช่วยหนุนให้ราคาหุ้น CPALL ปรับตัวขึ้นกลับสู่ระดับก่อนที่จะมีข่าวดังกล่าวออกมาได้ 

 

กระทบอย่างไร:

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น CPALL ปรับลง 2.69% สู่ 54.25 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 8.19% สู่ 1,231.14 จุด 

 

กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:

การชี้แจงของ CPALL ว่าบริษัทไม่มีความประสงค์ที่จะเข้าร่วมลงทุนในบริษัทค้าปลีกของประเทศญี่ปุ่น อาจช่วยหนุนให้ราคาหุ้น CPALL ปรับตัวขึ้นกลับสู่ระดับก่อนที่จะมีข่าวดังกล่าวออกมา (เพิ่มขึ้น 4% จากราคาหุ้นปัจจุบัน) ในด้านปัจจัยพื้นฐาน กำไรปกติ 4Q67 ออกมาแข็งแกร่ง สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ 5% และมีแนวโน้มที่กำไร 1Q68 จะออกมาแข็งแกร่ง จาก SSS และมาร์จิ้นที่ปรับตัวดีขึ้น ปัจจุบันหุ้น CPALL ซื้อขายที่ PE ปี 2568 ระดับ 17 เท่า โดยมี EPS growth ที่ 16% (น่าสนใจเมื่อเทียบกับ PE ปี 2568 ที่ 18 เท่า และ EPS growth ที่ 12% ของกลุ่มพาณิชย์) 

 

InnovestX Research คงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ CPALL โดยปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็นราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 76 บาทต่อหุ้น (จาก 81 บาท) โดยปรับ WACC เพิ่มขึ้นเป็น 7.3% (จาก 7.1% เพื่อสะท้อนความเสี่ยงเกี่ยวกับโครงการ Habitat ซึ่งรวมเอาผลกระทบ 1% ต่อกำไรในปี 2568-2570 เข้ามาแล้ว) ท่ามกลางการเติบโตระยะยาวที่ 2.5% 

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือ การเปลี่ยนแปลงในนโยบายรัฐบาลและกำลังซื้อ ความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงานและของเสีย ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (E) และการบริหารจัดการคุณภาพผลิตภัณฑ์ แนวปฏิบัติด้านแรงงาน  และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (S)

 

CPALL – ปลดล็อก overhang จากโอกาสซื้อกิจการ

https://www.innovestx.co.th/cafeinvest/research/company-analysis/high-conviction/cpall-hc-20250227 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising