เกิดอะไรขึ้น:
บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) รายงานกำไรสุทธิ 4Q66 อยู่ที่ 8.86 พันล้านบาท (ลดลง 22%QoQ, เพิ่มขึ้น 17%YoY) ต่ำกว่าที่คาด 29% และต่ำกว่า Consensus คาด 18% โดยมีสาเหตุหลักมาจากกำไรจากเครื่องมือทางการเงินและเงินลงทุนที่ต่ำกว่าคาด และ OpEx ที่มากกว่าคาด
โดยสรุปผลประกอบการโดยรวมได้ดังนี้
- คุณภาพสินทรัพย์: NPL ลดลง 9%QoQ ส่งผลทำให้อัตราส่วน NPL ลดลง 27 bps QoQ สู่ 3.22% Credit Cost ลดลง 23 bps QoQ สู่ 1.09% LLR Coverage เพิ่มขึ้นจาก 271% ณ 3Q66 สู่ 315%
- สินเชื่อลดลง 0.9%QoQ และ 0.4%YoY แย่กว่าคาด
- NIM เพิ่มขึ้น 8 bps QoQ เนื่องจากผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น 19 bps QoQ มากกว่าต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น 13 bps QoQ
- Non-NII ลดลง 17%QoQ (เพิ่มขึ้น 9%YoY) โดยมีสาเหตุมาจากกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยวิธี FVTPL ที่ลดลงและการรับรู้ขาดทุนจากเงินลงทุน รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิอยู่ในระดับทรงตัว QoQ (ลดลง 3%YoY)
- อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้เพิ่มขึ้น 10.49 ppt QoQ และ 272 bps YoY แย่กว่าคาด OpEx เพิ่มขึ้น 23%QoQ (เพิ่มขึ้น 24%YoY)
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น BBL ปรับลง 4.61% สู่ระดับ 145.00 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 1.11% สู่ระดับ 1,377.93 จุด
แนวโน้มกำไรปี 2567:
InnovestX Research ปรับประมาณการกำไรปี 2567 ลดลง 12% เพื่อสะท้อนผลประกอบการ 4Q66 (หลักๆ เกิดจากการปรับประมาณการกำไรพิเศษลดลงและ OpEx เพิ่มขึ้น) โดยคาดว่ากำไรจะเติบโต 12% ในปี 2567 ซึ่งอิงกับปัจจัยดังต่อไปนี้
- Credit Cost ลดลง: NPL ที่ลดลงและ LLR Coverage ที่สูงมาก ทำให้คาดว่า Credit Cost จะลดลง 6 bps สู่ 1.2% ในปี 2567
- การเติบโตของสินเชื่อฟื้นตัว: คาดว่าการเติบโตของสินเชื่อจะฟื้นตัวจาก 0% ในปี 2566 สู่ 4% ในปี 2567 เนื่องจากจะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานธุรกิจมายังอาเซียน
- NIM ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย: คาดว่า NIM จะเพิ่มขึ้น 8 bps ในปี 2567
- Non-NII เพิ่มขึ้นเล็กน้อย: คาดว่า Non-NII จะเพิ่มขึ้น 2% จากค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับตลาดทุน
- อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ทรงตัว: คาดว่าอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะทรงตัวอยู่ที่ 49%
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนยังคงเรตติ้ง Outperform สำหรับ BBL โดยปรับราคาเป้าหมายลดลงจาก 210 บาท สู่ 190 บาทต่อหุ้น (PBV ปี 2567 ที่ 0.65 เท่า อ้างอิง ROE ระยะยาวที่ 7% Cost of Equity ที่ 10.2% และการเติบโตระยะยาวที่ 1%)
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และการขยายสินเชื่อได้ช้ากว่าคาด เนื่องจากความต้องการสินเชื่อชะลอตัวและการแข่งขันสูง