เกิดอะไรขึ้น:
รีวิวผลประกอบการ 1Q66 กำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น 45%QoQ และ 14%YoY ใน 1Q66 สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้อยู่ 4% โดยหลักๆ เกิดขึ้นที่ BAY (รายการตั้งสำรอง) TTB (รายการตั้งสำรอง) และ KTB (NIM) และสูงกว่า Consensus คาดอยู่ 7% (BBL, KTB, TTB และ KKP) กำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยวิธี FVTPL ที่มากกว่าคาดถูกลดทอนลงบางส่วนโดย NIM ที่แย่กว่าคาด
ไฮไลต์ผลประกอบการโดยรวมของกลุ่มธนาคาร
- คุณภาพสินทรัพย์: ธนาคารส่วนใหญ่มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ค่อนข้างทรงตัว โดยพบ NPL ไหลเข้าอย่างต่อเนื่องที่ KKP (ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเช่าซื้อ) และ KBANK Credit Cost ของธนาคารส่วนใหญ่เพิ่มขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล KBANK และ SCB ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) สำหรับลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ 1 รายที่คุณภาพหนี้มีสัญญาณความเสื่อมถอย (ยังไม่เป็น NPL) KKP มีขาดทุนจากการขายรถยึดมากกว่าคาด LLR coverage ของธนาคารส่วนใหญ่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
- การเติบโตของสินเชื่อ สินเชื่อของกลุ่มธนาคารอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัวตามฤดูกาล QoQ และเติบโตต่ำ YoY ใน 1Q66 การเติบโตของสินเชื่อใน 1Q66 ถูกฉุดรั้งโดยการชำระคืนสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อภาครัฐ
- NIM: แย่กว่าคาด โดย NIM ของกลุ่มธนาคารแคบลง 8 bps QoQ ใน 1Q66 เนื่องจากต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 31 bps QoQ (การปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ เพิ่มขึ้น 23 bps สู่อัตราปกติที่ 0.46%) มากกว่าผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่มขึ้น 17 bps QoQ (น้อยกว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในตลาด) KTB เป็นธนาคารเพียงแห่งเดียวที่สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการรายงาน NIM เพิ่มขึ้น QoQ
- Non-NII: ธนาคารส่วนใหญ่พบว่า Non-NII เพิ่มขึ้น YoY ขณะที่มีทิศทางคละเคล้ากัน QoQ โดยส่วนใหญ่เกิดจากกำไร/ขาดทุนจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยวิธี FVTPL ใน 1Q66 รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ (รวมรายได้จากการประกันภัยสุทธิ) ของกลุ่มธนาคารลดลง YoY และ QoQ (ส่วนหนึ่งเกิดจากปัจจัยฤดูกาล) เพราะถูกฉุดรั้งโดยค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับตลาดทุน
- อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้: ลดลงตามฤดูกาล QoQ และค่อนข้างทรงตัว YoY
กระทบอย่างไร:
ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร (SETBANK) ปรับลดลง 4.27%, ราคาหุ้น BBL ปรับเพิ่มขึ้น 4.64% และราคาหุ้น KTB ปรับเพิ่มขึ้น 1.12% ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 7.21%
แนวโน้มผลประกอบการปี 2566 และกลยุทธ์การลงทุน:
สำหรับปี 2566 คาดว่ากำไรกลุ่มธนาคารจะเติบโต 13% โดยคาดว่าสินเชื่อจะเติบโต 5% NIM จะขยายตัว 23 bps (หลักๆ เกิดขึ้นที่ธนาคารขนาดใหญ่) Credit Cost จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 6 bps Non-NII จะอยู่ในระดับทรงตัว (รายได้ค่าธรรมเนียมทรงตัว) และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะลดลงเล็กน้อย
ขณะที่ 2Q66 คาดการณ์ในเบื้องต้นว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น YoY (NIM ดีขึ้น) แต่จะลดลง QoQ (กำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยวิธี FVTPL ลดลง) เมื่อเทียบ QoQ คาดว่าสินเชื่อจะฟื้นตัวตามฤดูกาล NIM จะขยายตัวเพิ่มขึ้น Credit Cost จะอยู่ในระดับทรงตัว Non-NII จะอ่อนแอลงเพราะกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยวิธี FVTPL ลดลงและรายได้ค่าธรรมเนียมทรงตัว และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะอยู่ในระดับทรงตัว ทั้งนี้ คาดว่า BBL จะรายงานกำไร 2Q66 เติบโตแข็งแกร่งที่สุดทั้ง YoY และ QoQ
กลยุทธ์การลงทุน InnovestX Research เลือก BBL และ KTB เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร เพราะมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมถึงมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ และ Valuation น่าสนใจ
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือ 1. ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากเงินเฟ้อสูงและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว 2. การขยายสินเชื่อได้ช้ากว่าคาด เนื่องจากความต้องการสินเชื่อชะลอตัวและการแข่งขันสูง และ 3. ผลกระทบจากฟินเทค
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- จับตา หุ้น STARK ตั้งอดีต ผอ. กองคดีการเงินการธนาคารและการฟอกเงิน นั่งประธานกรรมการคนใหม่ หลังเลื่อนส่งงบปี 65
- BJC ยื่นไฟลิ่งขาย IPO ‘บิ๊กซี รีเทล’ จำนวน 3,729.99 ล้านหุ้น จ่อเข้า SET นำเงินระดมทุนคืนหนี้-ลุยขยายธุรกิจ
- ตลาดฯ ขู่ยกระดับ DELTA เข้ามาตรการกำกับระดับ 2 และ 3 โบรกแนะขายหลังราคาสะท้อนข่าวดีไปมากแล้ว