สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน
เมื่อเร็วๆ นี้ SET ปรับตัวลงต่อเนื่อง และหลุดระดับ 1,600 จุด จากแรงขายแทบทุกกลุ่ม นำโดย หุ้น Big Cap อย่างกลุ่มพลังงาน (PTTEP, PTT และ BANPU) และกลุ่มธนาคาร (KBANK, BBL และ SCB) เนื่องจากกังวลการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกจะทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย ส่วนแรงขายหุ้นกลุ่มลีสซิ่ง (MTC และ SAWAD) เกิดจากกังวลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กำหนดเพดานควบคุมดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อ
โดย SET ลงไปทำจุดต่ำบริเวณ 1,557 จุด หลังจากนั้นฟื้นตัวขึ้นมาหาบริเวณ 1,600 จุดอีกครั้ง โดยมีแรงซื้อกลับในหุ้นกลุ่มพลังงาน (PTTEP, PTT และ TOP) ขานรับมติ OPEC+ ปรับลดกำลังการผลิตครั้งใหญ่สุดในรอบ 2 ปี
อย่างไรก็ตาม ดัชนียังไม่สามารถขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,600 จุดได้ จากความกังวลการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ Fed กลับมาอีกครั้ง หลังสหรัฐฯ รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนกันยายนดีกว่าคาด และอัตราว่างงานลดลง แสดงถึงตลาดการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง สร้างความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อที่อาจยังไม่ชะลอตัวชัดนัก ทำให้ Fed ต้องจำเป็นในการเร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อ
ด้านทิศทาง Fund Flow ยังไหลออกจากตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ SET ทำจุดสูงสุดไว้ที่ระดับ 1,672 จุด ในวันที่ 12 กันยายน หลังจากนั้นปรับลงต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิไปกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ สำหรับแนวโน้ม SET แม้มองว่าตลาดได้มีการรับรู้ความเสี่ยงการดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวของหลายประเทศไประดับหนึ่งแล้ว ทำให้มอง Downside ลงลึกจะจำกัด และติดตามแนวรับบริเวณ 1,535 จุด ที่คาดว่ามีโอกาสฟื้นตัวกลับได้ อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นหรือ Upside ก็จะถูกจำกัดเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลความเสี่ยงการถดถอยของภาวะเศรษฐกิจและความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่อาจมีมากขึ้นจากการที่ Fed ใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากเกินไป
ดังนั้นช่วงสั้นจึงยังต้องระมัดระวังความผันผวนของดัชนี ทำให้ด้านกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ Selective Buy ในหุ้นที่ต้านทานความเสี่ยงภายนอกและการชะลอตัวของเศรษฐกิจได้ ดังนี้
- กลุ่มหุ้นธนาคาร ซึ่งคาดกำไร 3Q65 ออกมาเติบโตดี และมีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์มากสุดจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น เลือก BBL, KTB และ KBANK
- หุ้นกลุ่มอื่น ซึ่งคาดจะพรีวิวโมเมนตัมกำไรยังแข็งแกร่งใน 3Q65 เลือก HMPRO, CRC, CPF, ZEN, SNNP และ AOT
ส่วนช่วงสั้นแนะนำเพิ่มความระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงการลงทุนออกไปก่อนในหุ้นที่มีปัจจัยเสี่ยงกดดันผลประกอบการ ดังนี้
- หุ้นโรงกลั่น หลังคาดงบ 3Q65 อาจได้รับผลกระทบค่าการกลั่นลดลงและขาดทุนสต๊อก โดยเฉพาะ บจ. ที่ไม่ได้ทำ Hedging อย่าง SPRC และ ESSO
- หุ้นเดินเรือ ซึ่งคาดได้รับผลกระทบจากอุปทานเรือใหม่ที่เข้ามา และอุปสงค์การขนส่งสินค้าเริ่มชะลอตัวลง
- หุ้นปาล์ม ซึ่งคาดผลประกอบการยังถูกกดดันจากราคาปาล์มที่อยู่ในทิศทางขาลง เนื่องจากมีผลผลิตปาล์มที่สูงขึ้นในอินโดนีเซียและมาเลเซีย รวมทั้งหุ้นน้ำตาล หลังคาดผลผลิตน้ำตาลโลกจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศที่ดีในบราซิล อินเดีย และไทย
ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้นต่างๆ ที่แนะนำ ผมเลือกมาจัดพอร์ตหุ้น 5 ตัว ได้แก่
- BBL ได้ประโยชน์มากสุดจากดอกเบี้ยขาขึ้น คาด 3Q65 กำไรจะเติบโต 18%YoY และ 17%QoQ สูงที่สุดในกลุ่ม จากการตั้งสำรองลดลงและการขยายตัวของ NIM รวมทั้งยังมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ
- KBANK หุ้นเด่นกลุ่มธนาคารที่มีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์มากสุดจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น และปัจจุบัน Valuation น่าสนใจ ขณะที่ 3Q65 คาดกำไรเติบโต 27%YoY จากการตั้งสำรองที่ลดลงและ NII ที่สูงขึ้น
CRC ใน 3Q65TD ยอดขายเติบโตกว่า 50%YoY ดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ และคาดว่ายอดขายปลีก รายได้จากการให้เช่า และมาร์จิ้นที่ฟื้นตัว จะหนุนให้ผลประกอบการ 3Q65 ฟื้นตัว YoY กลับมามีกําไรจากขาดทุนใน 3Q64
- AOT หุ้นเด่นกลุ่มท่องเที่ยว เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเร่งตัวขึ้น และภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยที่เป็นบวก จะหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ผลประกอบการ 4QFY65 (กรกฎาคม-กันยายน 2565) คาดจะปรับตัวดีขึ้นทั้ง QoQ และ YoY
- ZEN 3Q65 กำไรจะเติบโตขึ้นทั้ง QoQ และ YoY รวมทั้งเป็นหุ้น Defensive ที่ผลประกอบการอิงเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และคาดปี 2565 จะมีกำไรหลังขาดทุนต่อเนื่อง 2 ปี และสูงกว่าระดับก่อนโควิดที่ 126 ล้านบาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- 8 หุ้นเนื้อทอง เซียนหุ้น รุมตอม ร่วมลงทุนติดอันดับผู้ถือหุ้นใหญ่
- 9 หุ้น จ่ายเงินปันผลสูงมากกว่า 5% ตลอด 5 ปี แถมราคาตั้งแต่ต้นปียังบวก
- 10 หุ้น ขึ้น XD จ่ายเงินปันผลสูงสุดในรอบเดือน ก.ย. 65