×

‘มาร์เซโล บิเอลซา’ คนบ้าที่กล้าทวงคืนความฝันให้ลีดส์​ ยูไนเต็ดได้อีกครั้ง

20.07.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • จุดเริ่มต้นในการดึงตัว มาร์เซโล บิเอลซา มาร่วมทีมเกิดจากความคิดของ วิกเตอร์ ออร์ตา ผู้อำนวยการสโมสรที่เสนอไอเดียที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าของสโมสรให้ลองดู
  • การทำงานแบบ ‘คนบ้า’ ของบิเอลซา คือการใส่ใจทุกรายละเอียด และไม่มีคำว่าประนีประนอม
  • หลังแพ้ดาร์บี เคาน์ตี ตกรอบเพลย์ออฟจนทุกคนกลัวว่าเขาจะทิ้งทีมไป บิเอลซากลับเข้าประชุมร่วมกับผู้บริหารสโมสร และนำเสนอรายงานสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นในฤดูกาลแรกของเขาในเอลแลนด์ โรด อย่างละเอียดยิบ พร้อมชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่จะทำให้ทีมได้เลื่อนชั้น

ในโลกฟุตบอลนั้นมีการพูดกันว่าคนอย่าง มาร์เซโล บิเอลซา ไม่เคยให้ทีมไหนเลือก แต่เขาจะเลือกเองว่าอยากจะทำงานกับใคร

 

ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมื่อ อันเดรีย ราดริซซานี เจ้าของสโมสรลีดส์​ ยูไนเต็ด สอบถามไปทางผู้อำนวยการสโมสรอย่าง วิกเตอร์ ออร์ตา ว่าใครควรจะเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของ ‘ยูงทอง’ แทนที่ของ พอล เฮคกิงบอตทอม และได้รับคำตอบว่า ‘บิเอลซา’ จะทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ

 

เพราะการจะทาบทามกุนซือระดับโลกที่เป็นเหมือนปรมาจารย์ที่ผู้คนในวงการนับถือมาคุมทีมดังในอดีตที่ตกต่ำในลีกรองของวงการฟุตบอลอังกฤษมายาวนานนั้นเป็นเรื่องที่บ้าบอ

 

“แต่ผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้” ออร์ตาเองก็ยอมรับ

 

เพียงแต่สิ่งที่ราดริซซานีบอกต่อนั้นกลับทำให้ผู้อำนวยการสโมสรต้องประหลาดใจ และมีกำลังใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

 

“แล้วทำไมคุณไม่ลองดูก่อน?”

 

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือการติดต่อและพูดคุยกันอย่างยืดเยื้อยาวนานระหว่างทางด้านออร์ตา และบิเอลซา ซึ่งใช้เวลาเกลี้ยกล่อมอยู่นานกว่าที่คลื่นของสองฝ่ายจะตรงกัน ในที่สุดกุนซือผู้เป็น ‘คุรุ’ ของวงการก็ตอบรับข้อเสนอที่จะมาคุมทีมลีดส์​ ยูไนเต็ด

 

โดยเงื่อนไขสุดท้ายที่บิเอลซาเรียกร้องจากคู่เจรจา คือการอัปเกรดศูนย์ฝึกซ้อมที่ธอร์ป อาร์กไปอีกขั้น

 

“ถ้าคุณรับปากจะทำมัน ผมก็เอาด้วย”

 

ออร์ตา และแองกัส คินเนียร์ ประธานบริหารสโมสรของลีดส์รับปากตามนั้น โดยที่พวกเขาเองก็ลุ้นด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ ว่ากุนซือจอมศิลปินจะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมากลางคันหรือไม่

 

เพียงแต่คนอย่างบิเอลซา คำไหนคำนั้น

 

วันที่ 14 มิถุนายน 2018 โลกฟุตบอลก็ได้ข่าวชวนตะลึง – มาร์เซโล บิเอลซา เซ็นสัญญาคุมทีมลีดส์​ ยูไนเต็ด

 

ไม่มีประนีประนอม

สไตล์การทำงานของบิเอลซา เป็นที่รู้กันดีว่าเหมือนคนบ้า จนทำให้เขาได้รับสมญาว่า ‘El Loco’ (ก็คือคนบ้านั่นแหละ)

 

คนบ้าในที่นี้ไม่ได้หมายความว่ากุนซือชาวอาร์เจนไตน์จะเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ จับอารมณ์ไม่ถูก หรือฟาดงวงฟาดงาไปเรื่อย แต่หมายถึงการทำงานอย่างจริงจัง จับจด ใส่ใจในทุกรายละเอียด 

 

หนึ่งในตำนานที่เล่ากันไม่รู้เบื่อคือช่วงแรกของการทำงานในทีมนีเวลส์ โอลด์ บอยส์ ที่เขาขับรถตระเวนไปทั่วประเทศด้วยระยะทางรวมมากกว่า 5,000 ไมล์ด้วยรถ Fiat 147 (เพราะกลัวเครื่องบิน) เพื่อติดตามดูฟอร์มการเล่นของนักเตะดาวรุ่งชั้นยอดกว่า 3,000 คน และชวนมาคัดตัวเข้าทีม

 

ในกลุ่มนักเตะที่บิเอลซาค้นพบมี เมาริซิโอ โปเชตติโน ที่ต่อมากลายเป็นดาวเตะระดับทีมชาติอาร์เจนตินา และเป็นหนึ่งในสุดยอดกุนซือคนรุ่นใหม่ของวงการฟุตบอลในปัจจุบัน

 

สิ่งนี้สะท้อนถึงคุณค่าในการทำงานในฉบับของบิเอลซา ผู้ไม่ยอมประนีประนอมต่อสิ่งใดทั้งสิ้นจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

 

ด้วยทัศนคติแบบนี้ในการทำงาน ทำให้บางครั้งการร่วมงานกับบิเอลซาก็เป็นเรื่องยาก ลองจินตนาการว่าหากเราเป็นนักฟุตบอลทีมลีดส์​ ยูไนเต็ด แต่ต้องมีตาลุงคนหนึ่งที่ดูท่าทางเชยๆ มาคอยสอนด้วยลีลาท่าทางพิลึกๆ และที่สำคัญต้องพูดผ่านล่ามด้วยเพราะสื่อสารเองไม่ได้ ซึ่งพยายามทำเท่าไรแล้วก็ยังไม่ถูกใจอยู่นั่นแหละ

 

สถานการณ์แบบนี้มันเป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะยอมรับและนับถือ

 

แต่โชคดีสำหรับลีดส์ที่บิเอลซาก้าวผ่านอุปสรรคสำคัญในเรื่องของการมัดใจลูกทีมได้ไม่ยาก แข้งยูงทองให้ความนับถือและพยายามทำตามในสิ่งที่บิเอลซาพยายามสอนพวกเขาอย่างเต็มที่

 

ถ้านักเตะคนไหนทำตามเป้าหมายที่กำหนดไม่ได้ เช่น นำ้หนักไม่ได้ตามเป้า ก็จะไม่ได้ลงเล่น หรือถ้าซ้อมแล้วตัวเลขในการวิ่งไม่ได้ตามเป้าก็จะไม่ได้เล่น ซึ่งจะมีเงื่อนไขยิบย่อยเหล่านี้อีกมากมายที่เป็นดัชนีชี้วัด และเป็นตัวเร่งให้ทุกคนในทีมต้องพยายามเต็มที่

 

ผลที่ได้คือนักเตะในทีมลีดส์ทุกคนค่อยๆ พัฒนาไปสู่การเป็นผู้เล่นในระดับที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

คาลวิน ฟิลลิปส์ กลายเป็น ‘ปีร์โลแห่งยอร์กเชียร์’, เลียม คูเปอร์ กองหลังที่ย้ายมาจากเชสเตอร์ฟิลด์ เมื่อ 6 ปีที่แล้ว และถูกตราหน้าว่าเป็น ‘เลียม ลีกวัน’​ ตอนนี้กลายเป็นกัปตันทีมที่กำลังจะได้พาลีดส์ขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ

 

คูเปอร์ เข้าคู่กับเบน ไวต์ได้อย่างลงตัวในแนวรับ และทำให้พวกเขามีผลงานในการเก็บคลีนชีตได้ดีที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 1996-97

 

ความจริงไม่ใช่เฉพาะนักเตะเท่านั้น กับผู้บริหารที่ดึงตัวเขามาอย่างออร์ตา บิเอลซา ก็ไม่เคยลดราวาศอกให้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นที่รู้กันในสโมสรว่าจะได้ยินบทสนทนาที่เผ็ดร้อนและฟังไม่รู้เรื่อง เพราะเป็นการถกเถียงกันตามประสาละตินระหว่างออร์ตาและบิเอลซา ที่น่ากลัวราวกับว่าจะต้องแตกหักและมีคนใดคนหนึ่งที่ต้องไป

 

แต่เมื่อบทสนทนาจบลงทั้งคู่ก็พร้อมจะจบ ให้อภัย ลืมทุกสิ่ง และช่วยกันหาทางทำให้ทีมก้าวไปข้างหน้าต่อ

 

 

 

พรีเซนเทชันในตำนานที่บิเอลซาเปิดให้ผู้สื่อข่าวได้ชม และฟังรายละเอียดทั้งหมด

 

จากจำเลยสู่ฮีโร่

หนึ่งในเหตุการณ์อื้อฉาวที่สุดในชีวิตของกุนซือผู้นี้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว เมื่อเขาถูกกล่าวหาจาก แฟรงค์ แลมพาร์ด ซึ่งขณะนั้นเป็นนายใหญ่ทีมดาร์บี เคาน์ตี ว่าโดนทีมงานของบิเอลซาลอบมาสอดแนมดูการฝึกซ้อม

 

เรื่องครั้งนั้นถูกเรียกขานกันว่า Spygate และทำให้ภาพลักษณ์ของกุนซือคนซื่อเสียหายอย่างมากมายมหาศาล

 

แต่แทนที่เรื่องนี้จะ ‘ทำลาย’ ตัวของบิเอลซาจนไม่เหลือที่ยืนในสังคมลูกหนัง ความจริงใจของเขากลับทำให้วงการฟุตบอลได้หันมามองเขาใหม่ด้วยความเข้าใจมากขึ้น

 

ในการแถลงการณ์ข่าวแบบเร่งด่วนในวันที่ 16 มกราคม 2019 ซึ่งแฟนๆ กลัวว่ากุนซือชาวอาร์เจนไตน์จะอำลาทีมไป ในทางตรงกันข้าม บิเอลซาได้เชิญผู้สื่อข่าวมารับฟังคำชี้แจงของเขา แต่มันไม่ใช่แค่การชี้แจงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นธรรมดาๆ หากแต่มันเป็นเหมือนการเปิดชั้นเรียนลูกหนัง แสนพิเศษ

 

บิเอลซา เปิดพรีเซนเทชันที่กลายเป็นตำนาน โดยในนั้นมีข้อมูลของทีมทุกทีม นักฟุตบอลทุกคน โดยที่มีรายละเอียดทุกอย่างแบบละเอียดยิบว่าทีมไหนใช้ระบบการเล่นแบบไหน มีการเปลี่ยนแปลงแผนการเล่นในทีมหรือไม่ นักฟุตบอลคนไหนจะได้ลงสนามบ้าง เล่นตำแหน่งไหน

 

ลึกไปจนถึงสัญญาณมือในการเตะมุมว่าถ้าทำสัญญาณมือแบบนี้ลูกจะเปิดแบบไหนและบอลจะตกลงที่ตรงไหน

 

ข้อมูลนี้เกิดจากการรวบรวมของทีมงานที่ทำงานส่วนนี้ถึง 20 คน และใช้เวลาในการวิเคราะห์เฉพาะพรีเซนเทชันที่นำเสนอในวันนั้นถึง 360 ชั่วโมง

 

เปรียบง่ายๆ ก็เหมือนกับเป็น Big Data ของเกมฟุตบอล ซึ่งแม้ความจริงจะไม่ใช่ของใหม่ในวงการ เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีได้ย่อโลกเข้ามาทำให้สโมสรฟุตบอลมีระบบการ Scout ที่สามารถเจาะลึกข้อมูลพวกนี้ได้แบบละเอียด

 

แต่ถ้าคิดกลับกันว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่บิเอลซาทำมานานแล้ว ทำมาตลอดชีวิตตั้งแต่ในยุคที่ยังไม่มีใครจะใส่ใจในรายละเอียดมากขนาดนี้ มันชวนให้รู้สึกทึ่งขึ้นไปอีก

 

ที่สำคัญสำหรับความผิดที่บิเอลซาทำไป ซึ่งแม้เขาได้พยายามชี้แจงว่ามันเป็นเรื่อง ‘ปกติ’ ในโลกของเขาที่ใครๆ ก็ทำแบบนี้ แต่ที่สุดแล้วเขา ‘ขอโทษ’ และให้สัญญากับทุกคนว่า ‘จะไม่ทำอีก’

 

จากที่จะเป็น ‘จำเลย’ วันนั้นบิเอลซากลายเป็น ‘ฮีโร่’ คนใหม่ที่ได้หัวใจของทุกคนทันที

 

 

ลีดส์​พ่ายต่อดาร์บี ในเกมเพลย์ออฟรอบรองชนะเลิศปีที่แล้ว

 

 

ก่อนจะได้สมหวังในปีนี้ และเกมสุดท้ายของฤดูกาล พวกเขาเอาชนะดาร์บี เคาน์ตี ลบความเจ็บปวดทั้งหมดได้

ภาพ: @LUFC

 

เปลี่ยนความสูญเสียเป็นความหวัง

ตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ผ่านมา ลีดส์พบพานกับความเจ็บปวดมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน ชนิดที่การรอคอยแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 30 ปีของลิเวอร์พูลนั้นเป็นเหมือนนิทานก่อนนอนเลยทีเดียว

 

ลองจินตนาการว่าหากครั้งหนึ่งทีมที่มีเกียรติประวัติยิ่งใหญ่ยาวนาน เป็นแชมป์ดิวิชัน 1 ทีมสุดท้าย มาจนถึงการสร้างทีมยุคใหม่ที่อุดมไปด้วยผู้เล่นดาวรุ่งอนาคตไกล ทีมที่มีสไตล์การเล่นที่สวยงาม ทุกอย่างควรจะดูสดใส แต่ในเวลาไม่นานทุกอย่างที่สร้างมานั้นได้พังทลายลงไปหมด

 

จากที่เคยทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ลีดส์ต้องกระเด็นตกชั้นไปสู่ลีกระดับที่ 2 หลังจบฤดูกาล 2003-04 (ในปีที่อาร์เซนอลสร้างตำนาน The Invincibles) จากนั้นพวกเขาต้องหาทางลดภาระหนี้สินของสโมสรด้วยการขายสนามเอลแลนด์ โรด ที่ไม่ได้มีความหมายในฐานะของสนามแข่ง แต่ยังเป็น ‘บ้าน’​ และเป็น ‘หัวใจ’ ของชาว The Whites ทุกคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากจะทำใจยอมรับได้

 

ลีดส์เกือบจะได้กลับมาสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในปี 2006 ภายใต้การนำของ เควิน แบล็กเวลล์ แต่พวกเขาก็พ่ายในเกมนัดชิงเพลย์ออฟต่อวัตฟอร์ด 0-3 ที่มิลเลนเนียม สเตเดียม

 

จากที่เกือบจะกลับมาได้ หลังจากนั้นลีดส์ดำดิ่งลงไปในความมืดมนอนธการลึกขึ้นไปอีกเมื่อพวกเขาไม่มีปัญญาใช้หนี้สินมหาศาล ถูกปรับ 10 แต้มและต้องหล่นไปสู่ลีก วัน หรือฟุตบอลในระดับดิวิชัน 3 ของอังกฤษเป็นครั้งแรกของสโมสรในรอบ 38 ปีนับตั้งแต่ได้เป็นแชมป์ดิวิชัน 1 เมื่อปี 1992

 

แม้ทีมจะกระเตื้องขึ้นบ้างด้วยการกลับมาสู่เดอะแชมเปียนชิป ในปี 2010 และเคยได้สิทธิ์เพลย์ออฟอีกหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็จบลงด้วยความล้มเหลว

 

สตาร์มากมายที่ทีมปั้นมาต่างก็ถูกดูดตัวไปจากทีมไม่ว่าจะเป็น เจอร์เมน เบ็กฟอร์ด (ผู้ทำประตูชัยใน ‘สงครามกุหลาบ’​ ด้วยการบุกล้มแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในชัยชนะอันลือลั่นเมื่อฤดูกาล 2009-10 ที่เรียกกันว่า Beckford End), จอห์นนี ฮาวสัน, โรเบิร์ต สนอดกราสส์, ฟาเบียง เดลฟ์ และอีกมากมาย

 

กระทั่งคนอย่างบิเอลซาเองก็ต้องประสบชะตากรรมที่ไม่แตกต่างกัน โดยจากที่เคยทำผลงานได้ดี ลีดส์เจอกับช่วงฟอร์มตกหลังเหตุการณ์ Spygate แต่ก็ไม่เท่ากับการพลาดในช่วงปลายฤดูกาล จนทำให้หมดสิทธิ์ได้เลื่อนชั้นแบบอัตโนมัติ

 

ที่เจ็บกว่านั้นคือการที่ไปพ่ายในรอบเพลย์ออฟต่อดาร์บี เคาน์ตี ทีมที่กลายเป็นอริกันจากเรื่องสปาย

 

ตอนนั้นแม้แต่นักเตะในทีมหรือผู้บริหารก็ไม่รู้ว่าบิเอลซาจะอยู่กับพวกเขาต่อไปหรือไม่ และทำให้ชาวลีดส์ยิ่งวิตกหนักกว่าเดิมว่าขนาดภายใต้การนำของกุนซือระดับโลกอย่าง El Loco พวกเขาก็ยังเลื่อนชั้นไม่สำเร็จ หรือพวกเขาจะถูกสาปให้อยู่ในลีกล่างตลอดไป

 

แต่แทนที่จะใช้​ ‘อารมณ์’ นำหน้า บิเอลซากลับใช้ ‘เหตุผล’ ในการหารือ โดยการประชุมกันหลังจบฤดูกาลซึ่งมีเขา, ออร์ตา, คินเนีย และราดริซซานี สิ่งที่กุนซือชาวอาร์เจนตินาได้นำเสนอต่อทุกคนคือรายงานสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นในฤดูกาลแรกของเขาในเอลแลนด์ โรดอย่างละเอียดยิบ (ตามสไตล์)

 

เขาพยายามชี้ให้เห็นถึงจำนวนโอกาสที่ทีมพลาดไป ซึ่งเพื่อจะทำให้ทีมกลับมาเลื่อนชั้นให้ได้อีกครั้ง บิเอลซามองว่าลีดส์จำเป็นต้องทำ 3 สิ่งด้วยกัน

 

การจบสกอร์ที่ดีขึ้นหน้าปากประตู การยืมตัวผู้เล่นที่ดีขึ้น และลดอาการบาดเจ็บของผู้เล่นลง

 

โดยอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือเขาอยากสร้างบรรยากาศในห้องแต่งตัวที่ดีกว่าเดิม ซึ่งเพื่อสิ่งนี้ทำให้เขาโน้มน้าวให้บอร์ดบริหารปล่อยตัว ปอนตัส ยานส์สัน ที่มีส่วนในการทำให้บรรยากาศในทีมเสียออกไป และตัวเขาเองก็ยังปลดล่ามชาวฝรั่งเศสของเขา ซาลิม ลัมรานี ด้วยอีกคน

 

ที่ต้องปลดล่ามออกเพราะบิเอลซารู้สึกว่าล่ามกำลังทำตัวใกล้ชิดกับนักฟุตบอลมากจนเกินความจำเป็น ซึ่งเริ่มทำให้เขาและลูกทีมมีรอยแยกระหว่างกัน (โดยหลังจากโดนปลด ลัมรารีได้ออกหนังสือเกี่ยวกับการทำงานร่วมกับบิเอลซาด้วย

 

สิ่งสุดท้ายที่บิเอลซาเชื่อว่าจะมีส่วนสำคัญในการทำให้ทีมได้กลับมาเลื่อนชั้นคือ ‘โชค’ อีกนิดหน่อย

 

จบการประชุมวันนั้นทางด้านผู้บริหารทุกคนรู้สึกแบบเดียวกัน ว่าพวกเขาจะได้เลื่อนชั้นอย่างแน่นอนด้วยฝีมือของกุนซือคนนี้ เพราะ ‘โชค’ ที่ว่านั้นอยู่ในทีมลีดส์แล้ว

 

และวันนี้ ‘คนบ้า’ คนนี้ก็ทำให้ความฝันของชาวเมืองที่เฝ้ารอมานานกว่า 16 ปี จนแทบอยากจะเลิกรอได้กลับกลายเป็นความจริง

 

ไม่ว่าในฤดูกาลหน้าลีดส์ ยูไนเต็ดจะอยู่ตรงไหนของตารางพรีเมียร์ลีก แต่ชื่อของมาร์เซโล บิเอลซา นั้นอยู่ในใจของแฟนๆ ทุกคนไม่ต่างจากตำนานรุ่นก่อนๆ อย่าง บิลลี เบรมเมอร์, ดอน เรวี หรือ โฮเวิร์ด วิลกินสัน 

 

กุนซือคนบ้าผู้น่ารัก!

 

 

 

บิเอลซาหยุดรถก่อนเข้าสนามไพรด์ พาร์กของทีมดาร์บี ในเกมนัดสุดท้ายเพื่อลงมาพบกับแฟนบอลสาวน้อยผู้พิการคนหนึ่ง

 

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

อ้างอิง:

FYI
  • จากความสำเร็จในการนำทีมขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ทำให้เมืองลีดส์ได้ตั้งชื่อถนนในเมืองว่า Marcelo Bielsa Way ซึ่งเป็นถนนเชื่อมจาก Trinity Leeds คอมมูนิตี้มอลล์ของเมืองไปสู่ย่านการค้าในเมือง
  • หนึ่งในบทสนทนาแบบบิเอลซากับลูกทีมที่สะท้อนความเป็นตัวตนของเขาคือการที่ครั้งหนึ่งลูกทีมพยายามซ้อมยิงฟรีคิกหลังการซ้อมปกติ แต่โดนเรียกตัวกลับมา ซึ่งนักเตะก็ไม่เข้าใจ “ผมแค่อยากจะซ้อมพิเศษ” ก่อนที่บิเอลซาจะบอกว่า “ถ้าแกซ้อมพิเศษเพิ่มหมายความว่าแกไม่ได้ซ้อมอย่างเต็มที่”
  • ความใส่ใจในรายละเอียดของบิเอลซา ถึงขั้นที่มีการเรียกเจ้าหน้าที่ศูนย์ฝึกที่ธอร์ป อาร์กมาคุย โดยหนึ่งในสิ่งที่เขาต้องการคือการให้ปลูกต้นไม้เพิ่ม เพื่อให้ร่มเงาและทำให้ศูนย์ฝึกดูดี รวมถึงการดูแลรักษาความสะอาดพื้นที่ต่างๆ ในศูนย์ ทั้งหอพัก ไปจนถึงสระว่ายน้ำ และพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ ไม่ใช่เฉพาะสำหรับนักเตะชุดใหญ่ แต่รวมถึงชุดเยาวชนด้วย
  • ก่อนเริ่มฤดูกาล 2019-20 ลีดส์อุ่นเครื่องพรีซีซันกับทีมนอกลีกที่ชื่อฟอเรสต์ กรีน โรเวอร์ส ซึ่งบิเอลซาก็ได้ขอให้สตาฟฟ์บันทึกเกมการแข่งขันในเกมที่ฟอเรสต์ กรีน อุ่นเครื่องของทีมนอกลีกของนอกลีกอีกที จนทำให้ มาร์ก คูเปอร์ ผู้จัดการทีมฟอเรสต์กรีนถึงกับฉงนว่าใครมันอยากจะดูเทปของพวกเขานะ!
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X