×

แดงเดือด: แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับบทพิสูจน์ครั้งสำคัญในการเป็น ‘ทีมลุ้นแชมป์’

16.01.2021
  • LOADING...
แดงเดือด: แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับบทพิสูจน์ครั้งสำคัญในการเป็น ‘ทีมลุ้นแชมป์’

ภาพของ ปาทริซ เอวรา อดีตแบ็กซ้ายระดับตำนานของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มานั่งอัดวิดีโอระบายความรู้สึกผ่านโซเชียลมีเดียเพราะนอนไม่หลับ หลังต้องเห็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรเก่าอันเป็นที่รักถูกคริสตัล พาเลซบุกมาเอาชนะได้ในเกมแรกของฤดูกาล 3-1 ยังเป็นที่จดจำในความรู้สึก 

 

“ก่อนหน้าพวกเรา เซอร์บ็อบบี ชาร์ลตัน จอร์จ เบสต์ พวกเขาสร้างประวัติศาสตร์ของสโมสรแห่งนี้ คนมากมายที่ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ให้แก่สโมสร และเรามีหน้าที่จะต้องรักษามันเอาไว้ให้ได้”

 

ตำนานลูกหนังชาวฝรั่งเศสไม่ได้ตำหนิ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ แต่พุ่งประเด็นไปที่การบริหารจัดการนอกสนาม โดยเฉพาะ แมตต์ จัดจ์ ผู้ที่ทำหน้าที่ในการติดต่อเรื่องของการซื้อขายผู้เล่นให้กับ เอ็ด วูดเวิร์ด ซึ่งเอวราบอกว่าเป็นการไว้ใจผิดคน

 

“อย่ายุ่งกับโอเล” เอวรากล่าวในวันนั้น

 

อีกครั้งที่เอวราเก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่ไหวเกิดขึ้นในระหว่างการนั่งเป็นผู้วิเคราะห์เกมทางสถานีโทรทัศน์ Sky Sports ในเกมที่รับมือท็อตแนม ฮอตสเปอร์ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด และต้องทนเห็นทีมถูกนำไปก่อนถึง 4-1 ในเดือนตุลาคม

 

“ไม่มีใครสมควรที่จะได้เล่นให้ทีมนี้เลยในตอนนี้” เอวรากล่าวระหว่างพักครึ่ง ก่อนที่จะไม่สามารถสะกดกลั้นน้ำตาได้ ถึงขั้นขอลาออกจากการทำหน้าที่เป็นผู้วิเคราะห์เกมทันที เพราะคิดว่าไม่สามารถที่จะวิจารณ์เกมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้อีกต่อไป

 

ความซื่อตรงต่อความรู้สึกของเอวรา เป็นกระจกสะท้อนความผิดหวังของแฟนปีศาจแดงทั่วโลกในเวลานั้น ที่นอกจากจะไม่มีความสุขกับปัจจุบัน พวกเขายังมองไม่เห็นอนาคตอีกด้วย

 

เพียงแต่ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปในเวลาเพียง 3 เดือน

 

จากทีมที่จมอยู่ในโซนครึ่งล่างของตาราง วันนี้แมนเชสเตอร์​ ยูไนเต็ดกลายเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกทีมใหม่ แซงหน้าคู่ปรับตลอดกาลอย่างลิเวอร์พูลได้ทันเวลา ก่อนหน้าที่จะได้เปิดศึกกันในวัน ‘แดงเดือด’ วันอาทิตย์นี้

 

อะไรคือจุดเปลี่ยนของทีมที่เคยถูกมองว่าไร้อนาคต และพวกเขาพร้อมสำหรับการกลับมาทวงแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปีหรือยัง?

 

 

ทุกอย่างเริ่มจาก บรูโน แฟร์นันด์ส

ย้อนกลับไป 1 ปีที่แล้ว แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยังคงเป็นทีมที่ลุ่มๆ ดอนๆ ไต่ไม่ถึงแม้กระทั่งการเป็นสโมสรในกลุ่ม Top 4

 

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำจนถูกเรียกว่า ‘วนลูป’ คือการที่พวกเขามักจะทำผลงานได้ดีเป็นระยะ แต่เมื่อถึงจุดที่ถูกคาดหวังว่าจะกลับมาดีได้เสียที ก็มักจะทำให้แฟนๆ ต้องผิดหวังเสียทุกครั้งไป โดย 19 นัดแรกของฤดูกาล 2019-20 พวกเขาไม่เคยชนะต่อเนื่องกันได้เกิน 3 นัด 

 

จากนั้นมาถึงนัดที่ 23 ของฤดูกาล ทีมของโซลชาร์มีโปรแกรมในการมาเยือนแอนฟิลด์ของลิเวอร์พูล ซึ่งขณะนั้นผลงานเข้าขั้นไร้เทียมทาน ชนะทุกนัดยกเว้นเพียงนัดเดียวที่พวกเขาชนะไม่ได้คือการไปเยือนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ซึ่งได้ อดัม ลัลลานา เป็นฮีโร่ตีเสมอได้ในช่วงท้ายเกม

 

ด้วยเหตุผลของการเป็นคู่ปรับตลอดกาล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดตั้งใจอย่างยิ่งที่จะบุกมาเอาชนะลิเวอร์พูลให้ได้ เพื่อขัดแข้งขัดขาไม่ให้ก้าวไปสู่การเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรก และจะเป็นการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปีของคู่ปรับ 

 

เพียงแต่เมื่อถึงคราวลงสนามจริง ถึงนักเตะปีศาจแดงจะพยายามแล้วก็ไม่สามารถต้านทานทัพหงส์แดงที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นมากกว่าได้ สุดท้ายแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดพ่ายไป 0-2 ทำให้ระยะห่างระหว่างพวกเขากับลิเวอร์พูลมากถึง 30 แต้ม! 

 

ที่แย่กว่านั้นคือ การที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแพ้ต่อเบิร์นลีย์ในเกมต่อมาอีก 0-2 และทำให้ทีมตกอยู่ใต้สถานการณ์กดดันอย่างหนัก เสียงเรียกร้องจากแฟนๆ ให้สโมสรเสริมทัพเป็นการด่วนดังกระหึ่ม ซึ่งเวลานั้นการเจรจานักเตะที่เป็นเป้าหมายคือ บรูโน แฟร์นันด์ส เป็นไปอย่างล่าช้าจนน่าหวั่นว่าจะทำให้เสียโอกาส

 

แต่สุดท้ายสตาร์ทีมชาติโปรตุเกส ซึ่งเป็นหนึ่งในนักเตะฝีเท้าดีที่ถูกหลายสโมสรจับตามอง แต่น่าแปลกใจที่ไม่มีสโมสรใดยอมทุ่มข้อเสนอซื้อตัว ก็ย้ายมาร่วมถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ดในวันสุดท้ายก่อนตลาดการซื้อขายจะปิดตัว ด้วยค่าตัว 68 ล้านปอนด์ (ก่อนที่จะได้ โอเดียน อิกาโล อดีตกองหน้าวัตฟอร์ดมาจากเซี่ยงไฮ้ เสิ่นหัว อีกราย)

 

ถึงจะเป็นนักเตะที่ดี แต่ไม่มีใครคาดคิดในเวลานั้นว่าการมาถึงของผู้เล่นเพียงคนเดียวจะสามารถพลิกโชคชะตาของสโมสรได้มากและรวดเร็วขนาดนี้

 

ความมหัศจรรย์ของบรูโนปรากฏให้เห็นตั้งแต่แรก และความมหัศจรรย์นั้นไม่เคยหมด ถึงจะมีบางช่วงที่แผ่วไปบ้าง แต่ทุกครั้งที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเผชิญกับความยากลำบากในสนาม การเล่นเพียงจังหวะเดียวของสตาร์ชาวโปรตุกีสก็สามารถเปลี่ยนแปลงเกมได้ทันที

 

ผลงานการลงสนาม 47 นัด ทำได้ 27 ประตู และอีก 17 แอสซิสต์​ เป็นผลงานที่น่าเหลือเชื่อ 

 

หากนับเฉพาะในพรีเมียร์ลีก เขาลงสนามไปแล้ว 31 นัดโดยแบ่งเป็น 14 นัดในฤดูกาลที่แล้ว และอีก 17 นัดในฤดูกาลนี้

 

ในจำนวนเกมเหล่านี้ บรูโนทำไปแล้ว 19 ประตูกับอีก 14 แอสซิสต์ หรือมีส่วนร่วมกับการได้ประตูของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอย่างน้อยนัดละ 1 ประตูด้วยกัน

 

31 นัดที่มีเขาอยู่ในสนาม ยูไนเต็ดชนะถึง 20 นัด เสมอ 8 และแพ้เพียง 3 เรียกได้ว่าผลงานพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน

 

และหากนับผลงานของทีมนับตั้งแต่เขาย้ายมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคือทีมที่เก็บคะแนนในพรีเมียร์ลีกได้มากที่สุดถึง 68 แต้ม มากกว่าลิเวอร์พูลซึ่งอยู่อันดับ 2 ที่ทำได้ 62 แต้ม

 

เพียงแต่มันก็นำมาซึ่งคำถามว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พึ่งพานักเตะมหัศจรรย์รายนี้มากเกินไปหรือเปล่า?

ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยก็คือใช่

 

อย่างไรก็ดี เวลานี้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกำลังเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด 

 

เพราะดูเหมือนว่าบรูโนจะไม่ได้แบกทีมเพียงคนเดียวอีกต่อไป

 

 

เมื่อถึงเวลาดอกไม้จะผลิบาน

ความพ่ายแพ้ครั้งสุดท้ายของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในพรีเมียร์ลีกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน

 

วันนั้นพวกเขาพ่ายต่ออาร์เซนอลของ มิเกล อาร์เตตา โค้ชคนหนุ่มที่กำลังมั่นใจกับปฏิบัติการในการพลิกฟื้นชะตาของอาร์เซนอลเหมือนกัน​ 

 

ความพ่ายแพ้วันนั้นทำให้ปีศาจแดงแพ้ไปแล้ว 3 นัดจาก 6 นัดแรก และทุกนัดที่แพ้คือการแพ้คาโอลด์แทรฟฟอร์ด (อีกนัดคือการเสมอเชลซี) ทำให้อันดับจมอยู่ที่ 15

 

เวลานั้น #OleOut ดังกระหึ่มโลกโซเชียล ไม่มีแฟนยูไนเต็ดคนไหนที่เชื่อมือนายใหญ่ชาวนอร์เวย์อีกแล้ว และคิดว่าการเปลี่ยนแปลงจำเป็นจะต้องเกิดขึ้นเพื่อให้ทีมกลับมาให้ได้ในระหว่างที่ยังพอมีเวลาและโอกาส

 

แต่โซลชาร์ยังได้รับความไว้วางใจเหมือนเดิม เมื่อฝ่ายบริหารยังอดทนและให้โอกาสในการทำทีมต่อไป เพราะเข้าใจว่าทีมกำลังอยู่ในระหว่างการปรับจูน ทีมได้นักเตะที่ดีเข้ามาเสริมทีมมากพอสมควรแล้ว (แฮร์รี แม็กไกวร์, อารอน วาน บิสซากา, อเล็กซ์ เตลเลส, เอดินสัน คาวานี เป็นต้น) และสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ทีมไม่ได้เตรียมความพร้อมพรีซีซันอย่างดีพอ ทำให้ผลงานในช่วงแรกย่ำแย่

 

การตัดสินใจดังกล่าวกลายเป็นเรื่องถูกต้อง ในเกมต่อมาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเอาชนะเอฟเวอร์ตัน อีกหนึ่งทีมที่เล่นได้ยอดเยี่ยมภายใต้การนำของ คาร์โล อันเชล็อตติ ได้อย่างน่าประทับใจ โดยวันนั้บรูโน แฟร์นันด์สทำ 2 ประตูแรก ก่อนที่คาวานีจะทำประตูแรกของตัวเองได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

 

จากวันนั้นเป็นต้นมา 11 นัดหลังสุดพวกเขาเก็บชัยชนะได้ถึง 9 และเสมอต่อทีมที่ดีอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้และเลสเตอร์ ซิตี้เท่านั้น ซึ่ง 29 คะแนนจากคะแนนเต็ม 33 คะแนนทำให้พวกเขาพลิกสถานการณ์กลายเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกได้อย่างเหลือเชื่อ

 

แน่นอนว่าในหลายนัดนั้นบรูโนเป็นคนที่สร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้น และในหลายนัดที่ดูเหมือนพวกเขาจะมีโชคชะตาเข้าข้าง เช่น ในเกมกับเวสต์บรอมวิช อัลเบียน ที่ผู้ตัดสินกลับคำตัดสินที่ให้จุดโทษต่อเดอะ แบ็กกีส์ และในเวลาต่อมาให้จุดโทษยูไนเต็ดจากการทำแฮนด์บอล โดยบรูโน (ซึ่งเป็นคนไปทำฟาวล์จนโดนเป่าจุดโทษก่อน) ลุกมายิงจุดโทษเอง

 

แต่ในหลายๆ นัดพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความเป็นนักสู้ เช่น ในเกมกับเซาแธมป์ตัน ที่ตกเป็นรองก่อนถึง 2 ประตู แต่สุดท้ายสามารถยิงประตูชัยแซงชนะได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจากคาวานี และอีกครั้งในเกมกับวูล์ฟส์ที่อาการร่อแร่ แต่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ยิงประตูชัยให้ทีมได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บเช่นกัน

 

ในระหว่าง 11 นัดที่ผ่านมานั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยังแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว โดยเฉพาะนักเตะหลายคนที่ค้นพบฟอร์มเก่ง ไม่ว่าจะเป็น ดาวิด เด แฮ, แฮร์รี แม็กไกวร์, เฟร็ด, ลุค ชอว์, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ไปจนถึงแรชฟอร์ด, อองโตนี มาร์กซิยาล รวมถึงคาวานี ที่กลายเป็นที่พึ่งสำหรับทีมได้อีกคน

 

เหตุผลสำคัญเกิดจากชัยชนะนัดแล้วนัดเล่า การชนะในช่วงท้ายเกม สิ่งเหล่านี้สร้างความมั่นใจที่เคยขาดหายได้เป็นอย่างดี

 

และอีกหนึ่งนักเตะที่มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อทีมคือ พอล ป็อกบา ตัวปัญหาที่ในช่วงต้นเดือนธันวาคมยังมีการก่อหวอดจาก มิโน ไรโอลา เอเจนต์ส่วนตัวที่ปั่นข่าวการย้ายทีมอีกระลอก แต่กลายเป็นว่าสตาร์ทีมชาติฝรั่งเศสค่อยๆ กลับมาเล่นอย่างตั้งใจจนยึดตัวจริงในทีมกลับมาได้อีกครั้ง

 

การกลับมาตั้งใจเล่นของป็อกบารอบนี้สำคัญอย่างมาก เพราะชั้นเชิงการเล่นของนักเตะรายนี้สูงส่งและสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้อย่างมาก ทำให้ฟุตบอลของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดครบเครื่องและไล่จับทางได้ยาก

 

ที่สำคัญคือน้ำเสียงของดาวเตะวัย 27 ปี ซึ่งยังไม่แน่ชัดเรื่องอนาคต เพราะเหลือสัญญากับสโมสรอีกเพียง 1 ปีครึ่ง และเคยคิดถึงการย้ายไปอยู่สโมสรอื่นอย่างเรอัล มาดริดหรือยูเวนตุสมาตลอดเริ่มเปลี่ยนไป มีการพูดถึงทีมในแง่ดีมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสถานการณ์โควิด-19 ทำให้แผนการดังกล่าวอาจต้องถูกพับไปก่อน

 

หรือคิดอีกด้าน ฟอร์มของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในภาพรวมตลอด 1 ปีที่ผ่านมาอาจทำให้ป็อกบากลับมาเชื่อมั่นในทีมอีกครั้งว่าจะสามารถประสบความสำเร็จได้

 

“นี่คือเหตุผลที่ผมมาที่นี่” 

 

สิ่งที่น่าสนใจคือเขาไม่ได้เพียงแค่พูดด้วยปาก แต่ยังบอกให้รู้ด้วยภาษากายในสนาม

 

 

ชัยชนะในเกมแดงเดือดคือทุกสิ่ง

แต่ถึงจะทำผลงานยอดเยี่ยมแค่ไหน ไม่ใช่ทุกคนจะเชื่อว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะเป็นทีมที่พร้อมสำหรับการลุ้นแชมป์

 

ปัญหาคือพวกเขามักจะเล่นได้ไม่ดีนักในการเจอกับทีมใหญ่ไม่ว่าจะรายการไหนก็ตาม โดยในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้พวกเขาพ่ายต่อสเปอร์ส, อาร์เซนอล และเสมอเชลซีกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้

 

ในแชมเปียนส์ลีก พวกเขาเสียท่าพ่ายปารีส แซงต์ แชร์กแมงและแอร์เบ ไลป์ซิกใน 2 เกมสุดท้ายจนตกรอบ และล่าสุดคือรายการคาราบาวคัพ ที่พ่ายต่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้แบบหมดสภาพ ตกรอบรองชนะเลิศเป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกันในรอบสองฤดูกาล

 

นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขายังมีกำแพงที่ไม่สามารถก้าวข้ามได้ ทั้งในเชิงของเรื่องในสนามและเรื่องของจิตใจ

 

ในประเด็นนี้ป็อกบาออกมายอมรับในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดก่อนเกมกับ Sky Sports ว่าพวกเขายังไม่ได้เป็นทีมในระดับเดียวกับลิเวอร์พูล

 

“เราไม่สามารถบอกได้ว่าเราเป็นทีมในระดับเดียวกับพวกเขา เพราะพวกเขาได้แชมป์พรีเมียร์ลีกและยังเก็บชัยชนะได้เสมอ”

 

แต่กองกลางชาวฝรั่งเศสก็จุดประกายเบาๆ ว่า “เราจะบอกได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาก็ต่อเมื่อเราทำได้เหมือนพวกเขา”

 

ขณะที่ บรูโน แฟร์นันด์ส ราดน้ำมันใส่ประกายไฟที่ป็อกบาจุดไว้ในบทสัมภาษณ์ก่อนเกมเช่นกัน ด้วยถ้อยคำที่เผ็ดร้อน

 

“เราไม่ต้องการให้คู่แข่งมาอยู่ในระดับเดียวกับเรา” บรูโนกล่าว “สำหรับแฟนๆ ที่ในวันถัดไปจะต้องไปคุยกับเพื่อนที่อาจจะเป็นแฟนลิเวอร์พูล มันจะดีกับพวกเขามากกว่าถ้าเราเป็นคนชนะมากกว่าคนแพ้

 

“และมันคงจะสนุกมากกว่ากับการได้แชมป์ 21 สมัยโดยที่ลิเวอร์พูลยังหยุดอยู่แค่ 19 สมัย”

 

ทั้งนี้แม้เส้นทางจะอีกยาวไกลกว่าครึ่งฤดูกาล ซึ่งยูไนเต็ดยังไม่เจอกับบททดสอบที่หนักหน่วงเหมือนลิเวอร์พูลที่เสียนักเตะคนสำคัญอย่างเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และ โจ โกเมซ รวมถึงนักเตะคนอื่นๆ ที่สลับกันเจ็บต่อเนื่อง หรือแมนเชสเตอร์​ ซิตี้ที่ขาดกองหน้าเบอร์หนึ่งอย่าง เซร์คิโอ อเกวโร จนทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ต้องคิดค้นแผนการเล่นใหม่ทั้งหมด

 

แต่หากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอยากจะกลับมาเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่เหมือนในอดีต พวกเขาจำเป็นจะต้องผ่านบททดสอบทุกขั้นให้ได้

 

โดยเฉพาะในบททดสอบที่ยากที่สุดกับการเอาชนะลิเวอร์พูลที่ไม่เคยแพ้ใครในลีกที่แอนฟิลด์มายาวนานถึง 67 นัด หรือคิดเป็นระยะเวลาเกือบ 4 ปีด้วยกัน

 

เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเองก็กล่าวในระหว่างการเสวนากับเซอร์เคนนี ดัลกลิช ตำนานราชาแห่งลิเวอร์พูลถึงความสำคัญของการชนะคู่ปรับตลอดกาลให้ได้

 

“ผมรู้สึกเสมอว่าเราจำเป็นต้องชนะลิเวอร์พูลให้ได้ก่อนแล้วจะชนะได้ทุกสิ่ง”

 

ถ้าพวกเขาทำได้จริง มันคือการประกาศต่อคู่แข่งทุกทีมอย่างเป็นทางการ

 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดตัวจริง กลับมาแล้ว (เว้ย!)

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising