×

เมื่อ ‘ปีศาจแดง’ ยกเลิกภารกิจ #SaveOle เปลี่ยนเป็นการล่าถ้วยแชมป์ใบแรก

06.01.2021
  • LOADING...
เมื่อ ‘ปีศาจแดง’ ยกเลิกภารกิจ #SaveOle เปลี่ยนเป็นการล่าถ้วยแชมป์ใบแรก

HIGHLIGHTS

5 mins read
  • จากที่ถูกกระแสกดดันหนักของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ หลังตกรอบยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เวลานี้กุนซือชาวนอร์เวย์กำลังมองหาความสำเร็จรายการแรกกับทีม โดยจะลงสนามในรอบตัดเชือกคาราบาวคัพกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อีกครั้งในคืนนี้
  • ประสบการณ์ในการคว้าแชมป์ไม่ว่าจะเป็นถ้วยใบเล็กหรือใบใหญ่จะทำให้นักฟุตบอลเกิดการเสพติด กระหายชัยชนะและความสำเร็จ
  • วันนี้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้พึ่งพาเพียงแค่ บรูโน แฟร์นันด์ส เพียงคนเดียว เพราะนักเตะคนอื่นๆ ในทีมก็ก้าวขึ้นมาแบกรับทีมตามบทบาทของตัวเองได้อย่างน่าประทับใจ

ระยะเวลาห่างกันเพียงแค่ 1 เดือน แต่บรรยากาศภายใน ‘โรงละครแห่งความฝัน’ จะแตกต่างราวกับอยู่กันคนละโลก

 

จากความพ่ายแพ้ต่อปารีส แซงต์ แชร์กแมง ต่อด้วยความปราชัยต่อแอร์เบ ไลป์ซิก ในเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องกระเด็นตกรอบไปเล่นในถ้วยใบเล็กอย่างยูฟ่ายูโรปาลีกอีกครั้ง

 

ขณะที่เรื่องราวนอกสนามนั้น มิโน ไรโอลา ซูเปอร์เอเจนต์ชาวอิตาลีก็ป่วนด้วยการปั่นข่าวความปรารถนาในการย้ายทีมของ พอล ป็อกบา กองกลางเจ้าปัญหาให้วุ่นวายใจอีก

 

สถานการณ์ในเวลานั้นหนักหน่วงถึงขั้นที่เริ่มมีการคิดถึงเรื่อง #OleOut อีกครั้ง เพียงแต่บอร์ดบริหารในโอลด์แทรฟฟอร์ดที่นำโดย เอ็ด วูดเวิร์ด ยังคงมั่นใจในตัวผู้จัดการทีมชาวนอร์เวย์ และพร้อมที่จะ ‘อดทน’ เพราะเชื่อว่าทีมกำลังก้าวเดินอย่างถูกทางแล้ว

 

เหตุผลสนับสนุนของบอร์ดบริหารในเวลานั้นคือผลงานในภาพใหญ่ โดยนับตั้งแต่ได้ บรูโน แฟร์นันด์ส มาร่วมทีมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นรองเพียงแค่ลิเวอร์พูลทีมเดียวเท่านั้นในจำนวนแต้มที่เก็บได้ และเมื่อคิดถึงผลงานเฉพาะซึ่งขณะนั้นผ่านไป 10 นัดแรก ยูไนเต็ดทำได้ 19 คะแนนกับ 19 ประตู ซึ่งถือว่าดีกว่า 13 แต้มและ 13 ประตูในฤดูกาลก่อน ที่สุดท้ายพวกเขาจบด้วยอันดับที่ 3

 

และหากตัดผลงานในแชมเปียนส์ลีก กลับมาโฟกัสในพรีเมียร์ลีกอย่างเดียว หลังความพ่ายแพ้ต่ออาร์เซนอล พวกเขาก็ชนะรวด 4 นัดต่อเอฟเวอร์ตัน, เวสต์ บรอมวิช อัลเบียน, เซาแธมป์ตัน และเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ซึ่งการชนะ ‘ขุนค้อน’ ได้ทำให้อันดับไต่ขึ้นจากที่ 14 มาอยู่ที่ 6 ในระยะเวลาเพียงแค่ 1 เดือน

 

ความอดทนของบอร์ดบริหารได้รับผลตอบแทนที่ล้ำค่ากว่าที่คาด เมื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่แพ้ใครในอีก 6 นัดต่อมา หรือรวมแล้วพวกเขาไม่แพ้ใครในลีกเลย 10 นัด ซึ่งในจำนวนนี้มีการเสมอเพียง 2 นัด และเป็นการเสมอต่อทีมที่ดีอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเลสเตอร์ ซิตี้

 

สถานการณ์มาถึงจุดที่พร้อมจะพลิกฟ้าคว่ำปฐพี เพราะหากเก็บได้อย่างน้อย 1 คะแนนในเกมกับเบิร์นลีย์ พวกเขาจะแซงหน้าลิเวอร์พูลขึ้นไปเป็นจ่าฝูง ก่อนจะพบกันเองในศึกแดงเดือดในวันที่ 17 มกราคมนี้ที่แอนฟิลด์

 

อย่างไรก็ดี สำหรับโซลชาร์แล้วมีสิ่งที่เขาสนใจมากกว่าเรื่องของการแซงหน้าลิเวอร์พูล

 

สิ่งนั้นคือการคว้าแชมป์ใบแรกในยุคของเขาและทีมชุดนี้ให้ได้ และนั่นทำให้เกมรอบรองชนะเลิศคาราบาวคัพที่จะต้องเปิดศึก ‘แมนเชสเตอร์ ดาร์บี’ กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จึงเป็นเกมที่มีความหมายมากที่สุดในเวลานี้

 

โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ยังไม่ลืมความทรงจำในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อปี 1996 

 

กำแพงที่ต้องข้ามไปให้ได้

หลังจากที่ โชเซ มูรินโญ พาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ยูโรปาลีกได้ (อย่างตั้งใจชนิดยอมทิ้งเรื่องอื่นทั้งหมด) ในปี 2017 ยอดทีมแห่งแมนเชสเตอร์ก็ไม่เคยคว้าแชมป์รายการใดได้อีกเลย

 

ความพยายามที่ดีที่สุดเกิดขึ้นในฤดูกาลที่แล้ว เมื่อพวกเขาได้ผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลถ้วยถึง 3 รายการด้วยกัน แต่ทุกครั้งก็จบลงด้วยความล้มเหลว คือพ่ายต่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเกมลีกคัพ พ่ายต่อเชลซีในศึกเอฟเอคัพ และปราชัยต่อเซบียาในยูฟ่ายูโรปาลีก

 

สำหรับคนที่เคยลิ้มรสความสำเร็จมาก่อนอย่างโซลชาร์ เขารู้ดีว่ารสชาติของมันเลอค่ามากขนาดไหน และต่อให้เป็นถ้วยใบเล็กที่พวกเขาเองก็เคยปรามาสในอดีตอย่างลีกคัพ กุนซือวัย 47 ปีเชื่อว่าหากลูกทีมของเขาได้ลองลิ้มรสแล้ว ความต้องการนั้นจะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกร้อยเท่าพันทวี

 

“สำหรับทีมชุดนี้ การได้สัมผัสกับถ้วยแชมป์มันจะเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่มาก” โซลชาร์กล่าวอย่างมั่นใจ

 

ความมั่นใจของเขาเกิดขึ้นจากประสบการณ์​ตรงในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกของเขากับทีมในปี 1996 มาจนถึงถ้วยแชมป์ใบสุดท้ายที่เขาได้สัมผัสอย่างลีกคัพในปี 2006 ซึ่งการคว้าแชมป์ทุกครั้งมันเป็นการจุดประกาย ไม่เฉพาะสำหรับนักเตะที่เคยมีประสบการณ์มาแล้ว แต่รวมถึงนักเตะใหม่ที่ไม่เคยได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้มาก่อน

 

ความรู้สึกที่ดีจนอยากเสพติด

 

“ตอนที่ผมได้แชมป์ลีกครั้งแรกกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มันทำให้ผมเสพติด การได้ฉลองถ้วยแชมป์กับเพื่อนในสนามเป็นเรื่องที่สำคัญ คุณจะกลายเป็นคนที่เสพติดชัยชนะ ซึ่งตอนที่ ปาทริซ เอวรา และเนมันยา วิดิช ได้แชมป์ใบแรก (ลีกคัพ 2006) มันก็สำคัญต่อเขาและทีมเช่นกัน ในเวลาต่อมาเราคว้าแชมป์ลีกได้ในปีนั้น และทีมชุดนั้นก็เติบโตขึ้นอย่างมากในอีกหลายปีที่ผ่านมา”

 

บรูโน แฟร์นันด์ส, มาร์คัส แรชฟอร์ด, อองโตนี มาร์กซิยาล, อารอน วาน-บิสซากา, ลุค ชอว์, แฮร์รี แม็กไกวร์, เมสัน กรีนวูด, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, ดาเนียล เจมส์ นักเตะเหล่านี้คือเมล็ดพันธุ์แห่งอนาคตที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฝากความหวังได้อีกหลายปี และจะดีมากหากพวกเขาได้ประสบการณ์ตรงจากการคว้าแชมป์

 

ดังนั้นแม้จะต้องเจอกำแพงสูงใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สยบพวกเขาได้ในรอบเดียวกันของรายการนี้เมื่อปีกลายจากการเล่น 2 นัด – แต่กับคราวนี้ที่จะรู้ผลกันในเกมเดียว โซลชาร์เชื่อว่าทีมของเขาเวลานี้เติบโตขึ้นจากเมื่อ 1 ปีที่แล้วมาก

 

“เราพัฒนาขึ้นอย่างมากใน 1 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่รอบรองชนะเลิศปีกลาย (แมนเชสเตอร์ ซิตี้) หรือแม้แต่ในรอบรองชนะเลิศของยูโรปาลีก (เซบียา) เมื่อเดือนสิงหาคม ตอนนี้เรารู้สึกได้เต็มเปี่ยมว่าเราสามารถจะเล่นได้ดีสุดความสามารถ เรามีการเสริมผู้เล่นเข้ามาในทีมที่จะเป็นความหวังในการช่วยให้เราเฉือนคู่ต่อสู้ได้เมื่อเทียบกับเมื่อฤดูกาลที่แล้ว”

 

โซลชาร์ยังมีสถิติที่ดีในการพบกับทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา โดย 5 นัดหลังสุดแพ้เพียงแค่เกมเดียว (ลีกคัพเมื่อปีกลาย) นอกนั้นเป็นการชนะ 3 เสมอ 1 ซึ่งการเสมอเกิดขึ้นในเกมนัดล่าสุดที่จืดชืดจนเกินไป

 

เพียงแต่วัดจากฟอร์มและความมั่นใจในเวลานี้แล้ว คืนนี้ใครที่อดทนรอดูน่าจะได้ดูเกมที่เข้มข้นเหมือนซุปกิมจิหรือต้มยำมากกว่าแกงจืด

 

 

เพราะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้มีแค่แฟร์นันด์ส

ลงสนาม 29 นัด มีส่วนร่วมกับการได้ประตูถึง 32 ลูก (18 ประตู 14 แอสซิสต์)

 

สถิติผลงานดังกล่าวและสิ่งที่สถิติไม่สามารถบอกได้ เช่น อิทธิพลต่อเพื่อนร่วมทีม การพลิกสถานการณ์ด้วยตัวเอง ไปจนถึงการยกลูกจุดโทษให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ยิงเพื่อความมั่นใจ ทั้งๆ ที่มีโอกาสทำแฮตทริกได้ ทำให้เป็นที่ยอมรับกันมาร่วมปีแล้วว่าแฟร์นันด์สคือนักเตะที่ดีที่สุดของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคนี้

 

ความสำคัญของเขาถูกเปรียบเทียบว่าอาจเท่าเทียมกับ เอริก คันโตนา ยอดศิลปินลูกหนังชาวฝรั่งเศสที่เคยเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ เซอร์ อเล็กซ์​ เฟอร์กูสัน ก้าวขึ้นมาเป็นสุดยอดทีมของวงการ และครองความยิ่งใหญ่เป็นเวลาร่วม 2 ทศวรรษ

 

แต่จากผลงานในหลายเกมหลังของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สิ่งที่น่าสนใจคือเวลานี้ปีศาจแดงไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่พึ่งพาได้

 

แรชฟอร์ดเป็นหนึ่งในนักเตะที่ก้าวผ่านเขตแดนระหว่างความเป็นนักเตะเยาว์วัยกับการเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว (งานการกุศลที่เขาทำนอกสนามก็มีส่วนอย่างมาก) ซึ่งด้วยพรสวรรค์ที่อัดแน่นในตัว กองหน้าวัย 22 ปีรายนี้มีดีไม่แพ้ใครอยู่แล้วในอังกฤษ

 

ประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บในเกมกับวูล์ฟส เป็นการตอกย้ำว่าเมื่อถึงเวลาเขาก็พร้อมจะก้าวขึ้นมาแบกรับทีม

 

นอกจากเขา นักเตะที่โดนวิพากษ์หนักในช่วงก่อนหน้านี้อย่างมาร์กซิยาลเองก็เริ่มค้นพบฟอร์มเก่งด้วยเช่นเดียวกัน

 

ขณะที่นักเตะรายอื่นๆ อย่างเฟร็ดก็กลายเป็นหนึ่งในกองกลางที่ทำผลงานดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก, แม็คโทมิเนย์เองก็พัฒนาการเล่นขึ้นอย่างมาก รวมถึงป็อกบาที่ระยะหลังเล่นดีมากกว่าแย่ และเซนส์การเล่นอันสูงส่งของเขาก็มีส่วนยกระดับทีมอย่างมาก

 

หากจะเปรียบให้เห็นภาพ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด วันนี้คือทุ่งดอกไม้ที่เคยแห้งเหี่ยว มีดอกสีแดงใหญ่บานเพียงดอกเดียว แต่เพราะความอดทน ดอกไม้ดอกอื่นๆ ที่เคยเอียงอายก็เริ่มทยอยบานทีละดอกๆ จนสวยงามพร้อมหน้า

 

การผลิบานของนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกิดจากความอดทน ตั้งหน้าตั้งตาเล่น แม้จะถูกทดสอบด้วยแรงกดดันและคำถามมากมาย แต่ที่สุดแล้วพวกเขาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นของแท้มากกว่าของเทียม

 

สิ่งที่น่าคิดคือแม้จะมีหลายนัดที่ไม่ได้ถึงกับเล่นดีมาก แต่ก็มีดีพอที่จะเก็บชัยชนะเหนือคู่แข่งได้ ดังนั้นหากนักเตะเหล่านี้เก็บเกี่ยวความมั่นใจพร้อมกับประสบการณ์มากขึ้น ก็มีโอกาสที่จะเล่นได้อย่างลื่นไหลสวยงามแบบทีมอื่นได้เช่นกัน

 

ถ้าเปรียบเทียบกันในเชิงฝีเท้าและระบบการเล่น แน่นอนว่าเป็นรองแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เวลานี้เองก็ค้นพบจังหวะการเล่นอีกครั้งเหมือนกัน

 

แต่ถ้าเอาหัวใจและความอดทนเป็นที่ตั้งแล้ว

 

โซลชาร์และเหล่าผู้ถวายหัวใจให้ปีศาจแดงทั้งหลายก็เชื่อมั่นว่าวันนี้จะเป็นวันของพวกเขาเช่นกัน

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์ 

อ้างอิง:

FYI
  • กรณีที่ เจอร์เกน คล็อปป์ แซะเรื่องจำนวนจุดโทษของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โซลชาร์ตอบกลับแบบเจ็บๆ ว่า “ถ้าพวกเขาอยากจะใช้เวลาไปคิดเรื่องที่ทีมเราได้ฟาวล์ในกรอบเขตโทษก็แล้วแต่… ผมไม่เสียเวลากับเรื่องแบบนี้หรอก”
  • ในฤดูกาลนี้โซลชาร์มีขุมกำลังในทีมที่ดีและไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บระยะยาว ทำให้สามารถสับเปลี่ยนผู้เล่นได้มากถึง 27 ครั้งใน 4 นัดหลังสุด ขณะที่ลิเวอร์พูลหมุนเวียนผู้เล่นได้ 10 ครั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้ 20 ครั้ง
  • แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เติมบรรยากาศฟีลกู๊ดในทีมเพิ่มอีกด้วยการดึงอดีตมิดฟิลด์ ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ มาเป็นสตาฟฟ์โค้ชทีมชุดใหญ่ด้วย
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising