×

‘แมนเชสเตอร์ ดาร์บี’ ศึกแห่งศักดิ์ศรีที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

24.04.2019
  • LOADING...
Manchester Derby

HIGHLIGHTS

6 Mins. Read
  1. ก่อนเกมนี้ แฟน ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล จำนวนไม่น้อยที่ประกาศขอเชียร์แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นการชั่วคราว ขณะที่แฟน ‘ปีศาจแดง’ ก็ประกาศชัดอยากเห็นทีมพ่ายแพ้ต่อ ‘เรือใบสีฟ้า’
  2. นัดสุดท้ายของฤดูกาล 1994-95 สถานการณ์ก็คล้ายคลึงกัน มีการพูดกันเรื่องว่าลิเวอร์พูลจะ ‘เอื้อประโยชน์’ ให้แบล็กเบิร์นหรือไม่ ในฐานะที่ดัลกลิชเป็นคนคุ้นเคย และเพื่อสกัดกั้นไม่ให้คู่แค้นตลอดกาลอย่างยูไนเต็ดคว้าแชมป์ไปครอง
  3. สำหรับเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บีคืนนี้ เหล่าขุนพลเรด เดวิลส์ เองจะสู้สุดหัวใจอย่างแน่นอน ไม่ใช่เพื่อลิเวอร์พูล ไม่ใช่เพราะเกลียดแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่เพราะความเป็นมืออาชีพ หัวใจสำคัญของเกมนี้อยู่ที่ตรงนี้

เป็นสถานการณ์ที่เหลือเชื่อนะครับสำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเวลานี้ เมื่อเราอาจได้เห็นแฟนบอลของ 2 ทีมคู่ปรับตลอดกาลทำในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อกันขึ้นมาก่อนถึงเกม ‘แมนเชสเตอร์ ดาร์บี’ ในคืนนี้

 

แฟน ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล จำนวนไม่น้อยที่ประกาศขอเชียร์แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นการชั่วคราว ขณะที่แฟน ‘ปีศาจแดง’ ก็ประกาศชัดอยากเห็นทีมพ่ายแพ้ต่อ ‘เรือใบสีฟ้า’

 

ไม่นับแฟนสเปอร์ส อาร์เซนอล และเชลซี ที่ขอเป็นกองเชียร์แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ให้บุกคว้าชัยชนะที่โอลด์แทรฟฟอร์ดให้จงได้

 

ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากสถานการณ์ของการขับเคี่ยวลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกระหว่างลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เดินทางมาถึงจุดไคลแม็กซ์ (โดยมีการลุ้นท็อปโฟร์เป็นน้ำจิ้มและผักแนม) โดยเชื่อกันว่าผลการแข่งขันในคืนนี้จะเป็นจุดชี้ขาดว่าทีมใดจะได้ชูถ้วยแชมป์เมื่อจบฤดูกาล

 

หากทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา สามารถกลับมาจากโรงละครแห่งความฝันพร้อม 3 คะแนน แชมป์ก็ไม่น่าจะหลุดมือไปจากพวกเขาได้

 

อย่างไรก็ดี ทีมที่อยู่ในความสนใจของผู้คนไม่ใช่ทีม ‘สีฟ้า’ ของเมืองแมนเชสเตอร์แม้แต่น้อยครับ

 

Manchester Derby

 

ทีมที่ถูกพูดถึงและจับตามองอย่างมากคือฟาก ‘สีแดง’ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอีกครั้งอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อพวกเขาแพ้เอฟเวอร์ตันย่อยยับ 4-0 ในเกมล่าสุด เป็นการแพ้ 6 จาก 8 นัดหลังสุดในทุกรายการที่มาพ่วงกับสถิติเลวร้ายระดับปรากฏการณ์อีกมากมาย

 

อาทิ การแพ้เกมเยือนพรีเมียร์ลีก 3 นัดติดต่อกัน (ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1996) แพ้เกมเยือนในทุกรายการ 5 นัดติดต่อกัน (ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1981), เสียประตูถึง 48 ประตูในพรีเมียร์ลีก (มากที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 1978-79) และแพ้เอฟเวอร์ตันเยอะที่สุดนับตั้งแต่แพ้ 5-0 ในปี 1984

 

สถิติระหว่างเกมเองก็เลวร้าย 90 นาทีที่กูดิสันพาร์ก พวกเขาทำระยะทางวิ่งน้อยกว่าขุนพลทอฟฟีเมนถึง 8.03 กิโลเมตร ซึ่งเป็นตัวสะท้อนถึงความทุ่มเทในการเล่นของผู้เล่นที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง เพราะทีมที่วิ่งน้อยก็หมายถึงความตั้งใจในการเล่นน้อยลงตามไปด้วย

 

สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ปีศาจสีแดงทุกผู้ทุกตนไม่สามารถยอมรับได้

 

และนั่นนำไปสู่การออกมากล่าวขอโทษทันทีหลังจบเกมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ คนเดิมคนเดียวกับที่ปลุกความหวังทีมว่าจะกลับมาสดใสอีกครั้งหลังพ้นยุคทมิฬของ โฆเซ มูรินโญ เช่นกันกับ ดาวิด เด เคอา ที่หมดสภาพอย่างสิ้นเชิงในเกมที่พ่ายเอฟเวอร์ตัน

 

ขณะที่หนึ่งในแกนนำของทีมที่เล่นได้เลวร้ายในช่วงที่ผ่านมาอย่าง พอล ป็อกบา ก็ออกมายอมรับว่าทีมย่ำแย่และจำเป็นต้องกอบกู้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาให้ได้อีกครั้ง

 

ก็เหมือนบทละครดีนะครับที่เกมถัดมาของพวกเขาคือเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพื่อนบ้านจอมโวยวายในคำนิยามของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันพอดี

 

พอดี๊พอดียิ่งกว่าก็อย่างที่บอกว่า ดันเป็นเกมที่มีโอกาสตัดสินแชมป์ และเป็น 2 ทีมที่พวกเขาเกลียดเสียยิ่งกว่าของที่ออกจากลำไส้

 

ก็นับว่าวุ่นวายใจอยู่พอสมควร!

 

แอบนึกถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล 1994/95 ที่ลิเวอร์พูลเป็นผู้ถือกุญแจสู่แชมป์ ครั้งนั้นพวกเขาต้องรับมือกับแบล็กเบิร์น โรเวอร์ส จ่าฝูงที่ทำตัวเป็นเจ้าบุญทุ่มคว้านักฟุตบอลฝีเท้าดีมากมายเพื่อหวังจะคว้าแชมป์ครั้งแรกของสโมสรให้ได้ในรอบ 82 ปี

 

แบล็กเบิร์นในวันนั้นมีผู้จัดการทีมที่ชื่อ เคนนี ดัลกลิช คนที่เดอะ ค็อป รักเหมือนแก้วตาดวงใจ เป็น ‘คิง’ แห่งแอนฟิลด์

 

อีกทีมที่ลุ้นแชมป์ก็คือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นยุคทองภายใต้การนำของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เกมสุดท้ายต้องไปเยือนเวสต์แฮมที่อัพตันพาร์ก

 

ก่อนลงสนามสถานการณ์ก็คล้ายคลึงกันครับ มีการพูดกันเรื่องว่าลิเวอร์พูลจะ ‘เอื้อประโยชน์’ ให้แบล็กเบิร์นหรือไม่ ในฐานะที่ดัลกลิชเป็นคนคุ้นเคย และเพื่อสกัดกั้นไม่ให้คู่แค้นตลอดกาลอย่างยูไนเต็ดคว้าแชมป์ไปครอง

 

Manchester Derby

 

แต่เมื่อถึงคราวลงสนามจริง สิ่งที่เราได้เห็นคือความเป็น ‘มืออาชีพ’ ของลิเวอร์พูล ที่สู้กับแบล็กเบิร์นอย่างเต็มที่ จากที่โดน อลัน เชียเรอร์ ศูนย์หน้าเบอร์หนึ่งในยุคนั้นยิงนำตั้งแต่ครึ่งแรก ปีกนิลกาฬ จอห์น บาร์นส์ ช่วยตีเสมอได้สำเร็จ ก่อนที่เกมจะมาถึงจุดพีก เมื่อ เจมี เรดแนปป์ ยิงฟรีคิกปลิดวิญญาณให้หงส์แดงขึ้นนำในช่วงทดเวลาบาดเจ็บและเป็นประตูชัยในเกมนั้น

 

เรื่องเหลือเชื่อคือ ฟรีคิกลูกนั้นเสียบตาข่าย สนามแอนฟิลด์กลับเงียบกริบ เพราะพวกเขาคิดว่านอกจากจะเป็นการมอบแชมป์ให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และยังทำร้ายจิตใจ เคนนี ดัลกลิช ผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขาด้วย

 

แต่เมื่อเสียงจากวิทยุ (สมัยก่อนการติดตามผลฟุตบอล แฟนบอลจะต้องพกวิทยุเข้าไปในสนามด้วย เพราะไม่มี LiveScore ให้ดูเหมือนปัจจุบัน) แจ้งว่าเกมที่อัพตันพาร์ก จบลงด้วยการเสมอกัน ก็ทำให้ทั้งแฟนลิเวอร์พูลและแฟนแบล็กเบิร์นได้ฉลองแชมป์ร่วมกัน เป็นภาพที่เหลือเชื่ออย่างยิ่ง

 

สำหรับเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บีคืนนี้ ผมเองก็มั่นใจว่าเหล่าขุนพลเรด เดวิลส์เองจะสู้สุดหัวใจอย่างแน่นอนครับ

 

ไม่ใช่เพื่อลิเวอร์พูล ไม่ใช่เพราะเกลียดแมนเชสเตอร์ ซิตี้

 

แต่เพราะความเป็นมืออาชีพ และเพื่อทำให้แฟนบอลได้เห็นว่าพวกเขายัง ‘แคร์’ หลังจากผลงานที่น่าอับอายในเกมที่กูดิสันพาร์ก

 

หัวใจสำคัญของเกมนี้อยู่ที่ตรงนี้ครับ ไม่ใช่เรื่องอื่น

 

ส่วนโซลชาร์จะหาวิธีรับมือกับซิตี้อย่างไร และลูกทีมของเขาจะเร่งผลงานขึ้นมาเหมือนในช่วงแรกที่นายใหญ่ชาวนอร์เวย์เข้ามากอบกู้ทีมได้ไหมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

จริงอยู่ที่ยูไนเต็ดช่วงนี้ย่ำแย่มาก ทั้งแนวรับและแนวรุก ยิ่งวิธีการเล่นนั้นยิ่งแตกต่างจากช่วงแรกที่โซลชาร์เข้ามาคุมทีม เมื่อพวกเขากลับมาเน้นเกมรับแล้วรอสวนกลับมากกว่าที่จะเปิดเกมรุกต่อบอลบุกใส่ในแบบ United Way ที่แฟนบอลต้องการ

 

แต่สำหรับทีมที่ต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง เราอาจจะได้เห็นสิ่งที่ไม่คาดคิดเสมอ

 

ไม่ต่างจากเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี ในช่วงใกล้เคียงกันนี้เมื่อปีที่แล้ว ช่วงนั้นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ใกล้จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองอยู่แล้ว โดยหากเอาชนะยูไนเต็ดได้ในเกมที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ก็จะคว้าแชมป์ได้ทันที และเป็นการคว้าแชมป์ลีกที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วย

 

ประตูของ แว็งซ็องต์ กอมปานี และ อิลคาย กุนโดกัน ทำให้ซิตี้นำสบายๆ 2-0 ทุกอย่างอยู่ในกำมือ

 

แต่เมื่อกลับมาลงสนามใหม่ในครึ่งหลัง มูรินโญปรับกลยุทธ์การเล่น และพวกเขาใช้เวลาแค่ 25 นาทีในการพลิกจากตามหลัง 0-2 กลับมาแซงนำ 3-2 ก่อนจะคว้าชัยชนะไปได้ด้วยสกอร์ดังกล่าว

 

ถล่มงานฉลองของซิตี้ได้อย่างสะใจ

 

Manchester Derby

 

สำหรับนัดนี้ด้านของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา และทีมของพวกเขาเองก็มั่นใจครับว่าด้วยบทเรียนจากที่ผ่านมา รวมถึงฟอร์มของยูไนเต็ด ไม่น่าจะหยุดพวกเขาไหว แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ การกรำศึกหนักของซิตี้ทำให้ทีมเริ่มมีปัญหาอาการบาดเจ็บ และความอ่อนล้าเริ่มแสดงผล

 

เกมจึงอาจจะไม่ห่างชั้นกันมากอย่างที่คิด

 

สุดท้ายไม่ว่าผลการแข่งขันนั้นจะออกมาอย่างไร เชื่อว่า Battle of Manchester ครั้งนี้จะถูกบันทึกไว้ในความทรงจำ

 

ไม่ใช่เพียงในฐานะเกมสำคัญที่มีความหมายมากมายกว่า 3 คะแนนให้ไขว่คว้า

 

แต่ยังเป็นเกมสุดอลหม่านที่ชวนให้แฟนบอลวุ่นวายใจไม่น้อยว่าหัวใจจะเลือกข้างไหนดี

 

เป็นสีสันที่ไม่ได้พบได้เจอกันบ่อย จะกองเชียร์ฝั่งไหนก็ขอให้เอ็นจอยไปด้วยกันนะครับ 🙂

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

FYI
  • หนึ่งในคนที่ขอแปรพักตร์ชั่วคราวคือ เจมส์​ มิลเนอร์ มิดฟิลด์จอมเก๋าของลิเวอร์พูล ที่ขอเชียร์แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นเรื่องที่กระอักกระอ่วนมาก เพราะมิลเนอร์เป็นเด็กฝึกหัดของลีดส์ ยูไนเต็ด (ซึ่งเป็นคู่แค้นดั้งเดิมของปีศาจแดง) แถมยังเคยเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และปัจจุบันก็มาอยู่กับลิเวอร์พูลอีกต่างหาก คูณสามเลย!
  • ก่อนเกมมีสงครามประสาทระหว่างโซลชาร์กับเป๊ปเกิดขึ้น เมื่อกุนซือชาวนอร์เวย์กดดันผู้ตัดสินเรื่องการเล่นหนักหน่วงของซิตี้ที่ไม่ค่อยได้ใบเหลือง ทำเอาเป๊ปถึงกับฟิวส์ขาดตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนทันที
  • ในรั้วโอลด์แทรฟฟอร์ด เสียงวิจารณ์เรื่องการทำหน้าที่ของฝ่ายบริหารกลับมาดังกระหึ่มอีกครั้งกับคำถามว่า แต่งตั้งโซลชาร์เป็นผู้จัดการทีมเต็มตัวเร็วเกินไปหรือไม่
  • อีกหนึ่งตำแหน่งสำคัญในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคที่ไม่เคยมีมาก่อน มีกระแสข่าวว่า ไมค์ ฟีแลน จะได้รับตำแหน่งนี้
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising