แค่ 81 วินาที แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เหมือนจะเริ่มต้นยุคสมัยใหม่ภายใต้ รูเบน อโมริม ได้อย่างงดงามราวกับความฝันอยู่แล้ว
ทุกอย่างเริ่มจากการต่อบอลกันริมเส้น อาหมัด ดิยัลโล ที่ถูกส่งลงประจำการในตำแหน่งวิงแบ็กฝั่งขวาของระบบการเล่นใหม่ 3-4-3 ควบพาบอลไปข้างหน้าอย่างเมามัน ก่อนจะเปิดหักเข้ามาด้วยเท้าข้างขวาที่ไม่ถนัดกลับมาที่กลางประตู
ณ ที่ตรงนั้นมี มาร์คัส แรชฟอร์ด Local Lad Hero ของชาวแมนคูเนียน ที่ได้โอกาสออกสตาร์ทในบทศูนย์หน้าตัวเป้า ปรี่เข้าฮอสที่เสาแรกด้วยเท้าซ้ายข้างที่ไม่ถนัดเหมือนกันและบอลก็ไม่ได้โดนเต็มนัก เพียงแต่มันดีพอที่จะเป็นประตูขึ้นนำของเหล่าปีศาจแดง
ตามเนื้อเรื่องที่ควรจะเป็นแล้ว ทีมของอโมริมควรจะเดินเครื่องโขยกใส่อิปสวิชอย่างเมามันให้เป็นการเปิดตัวยุคใหม่ที่กระหึ่มเหมือนฟังเพลง Defying Gravity ในระบบเสียง Dolby Atmos
น่าเสียดายที่ทุกอย่างหลังจากนั้นมันไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวังนักสำหรับชาว Red Army เมื่อทีมพลาดท่าถูกเจ้าบ้านตีเสมอได้ในช่วงครึ่งหลัง ในรูปเกมที่ไม่ได้เหนือกว่าทีมของ คีแรน แมคเคนนา ผู้เคยเป็นหนึ่งในแคนดิเดตตำแหน่งนายใหญ่ของโอลด์แทรฟฟอร์ดเลย
“เราคงจะต้องเจ็บปวดกันอีกยาวนาน” คือคำพูดจากความรู้สึกของนายใหญ่คนหนุ่มผู้มาพร้อมกับความหวังเต็มเปี่ยม แต่ต้องพบกับความจริงที่น่าผิดหวัง
แต่เรามองไม่เห็นความหวังอะไรในเกมประเดิมยุคสมัยใหม่ของแมนฯ ยูไนเต็ดเลยงั้นหรือ?
ไม่หรอก…
ภาพของอโมริมที่ยืนให้สัมภาษณ์กับเหล่า Football Pundit ของสถานีโทรทัศน์ Sky Sports อยู่ แล้วอยู่ๆ Ed Sheeran ศิลปินดัง ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนคนสำคัญที่มีส่วนในการทำให้อิปสวิช ทาวน์ กลับคืนสู่พรีเมียร์ลีกได้ สะท้อนความรู้สึกได้พอสมควร
เพราะในขณะที่พ่อ ‘Teddy’ กำลังดี๊ด๊ากับผลการแข่งขันและทักทายพิธีกรอย่างมีความสุข ก็หยอกกับไมโครโฟนว่า “เขาคงไม่ค่อยอยากคุยกับผมหรอกตอนนี้”
กุนซือวัย 39 ปีที่ดูพยายามควบคุมอารมณ์เล็กน้อยตอบกลับไม่ขำด้วยว่า “ไม่ ผมไม่อยากคุย”
ความผิดหวังของอโมริมเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะตลอดทั้งเกมที่พอร์ตแมนโรด แมนฯ ยูไนเต็ดใต้การนำทัพของเขาไม่ได้เล่นฟุตบอลที่ดีอย่างที่ฝันเลย ทั้งๆ ที่เริ่มต้นได้เหมือนความฝันแล้วแท้ๆ กับประตูของแรชฟอร์ดตั้งแต่นาทีที่ 2 ของการแข่งขัน
เพราะช่วงเวลาที่เหลือแทบจะเป็นพะโล้ที่มีแต่น้ำ ไม่เหลืออะไรเลย แถมหากไม่ได้การเซฟสำคัญของ อังเดร โอนานา การประเดิมยุคสมัยใหม่ของเขาอาจจะเลวร้ายกว่านี้ก็เป็นได้
ผลงานนั้นทำให้มีแฟนบอล (ทีมใดก็มิอาจทราบได้) แซวกันว่า “เปิดตัวมาอย่างเหนือ นาทีที่เหลือทำอะไร”
หรือ “แค่เกมแรกก็ต้อง #เซฟอโมริม กันแล้วหรือ”
จุดแรกที่ต้องมองกันก่อนคือเรื่องของระบบและรูปแบบการเล่น
อย่างที่ทราบกันว่าอโมริมเป็นโค้ชที่มีระบบการเล่นเป็นลายเซ็นของตัวเองในแบบ 3-4-3 และเรื่องนี้เองเป็นสาเหตุหลักของปัญหา
ไม่ใช่แค่เพราะไม่ได้เป็นระบบการเล่นตามสมัยนิยม แต่เป็นระบบการเล่นที่ดูจะไม่เหมาะสมสอดคล้องกับผู้เล่นแมนฯ ยูไนเต็ดที่เขามีในทีมสักเท่าไรนัก
ไม่ว่าจะเป็นแนวรับหลัง 3 ที่ประกอบไปด้วย นูสแซร์ มาซราอุย, มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์ และ จอนนี อีแวนส์ ที่ไม่สามารถช่วยเรื่องของการเซ็ตบอลขึ้นหน้าได้ ขณะที่แดนกลางอย่าง คาเซมิโร และ คริสเตียน อีริกเซน ด้วยประสบการณ์อาจจะสูง แต่ดูไม่เหมาะสมกับทีมที่ต้องการความไดนามิกในแดนกลาง
วิงแบ็กสองข้าง ดิโอโก ดาโลต์ สับสนกับตำแหน่งและบทบาทของตัวเอง และดูไม่น่าจะเป็นตัวเลือกที่ใช่สำหรับวิงแบ็กซ้าย ขณะที่ฝั่งขวา ดิยัลโล อาจจะทำได้ดีในเกมรุก แต่การทำหน้าที่ในเกมรับยังเป็นจุดอ่อนที่ค่อนข้างชัดเจน
ในเกมรุก มาร์คัส แรชฟอร์ด ไม่ใช่ผู้เล่นที่ช่วยเพรสซิงในแดนหน้าได้ดีในสไตล์ของอโมริม ซึ่งแม้จะพยายามวิ่งบ้างแต่ก็ไม่สามารถขยันวิ่งได้ตลอดเวลา ขณะที่ อเลฮานโดร การ์นาโช ติดกับรูปแบบวิธีการเล่น ‘ปีก’ แบบเดิมๆ ของตัวเอง ทั้งๆ ที่ ‘จ็อบ’ ในระบบการเล่นใหม่เปลี่ยนไปในบท Inside Forward เช่นกันกับ บรูโน แฟร์นันด์ส กัปตันทีมที่ดูทำตัวไม่ถูกในบทนี้
สำหรับนักเตะตัวสำรอง ไม่ว่าจะเป็น ลุค ชอว์, โจชัว เซิร์กซี, ราสมุส ฮอยลุนด์, เมสัน เมาท์ ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นนัก มีเพียง มานูเอล อูการ์เต ซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิของบอสใหม่ที่พอจะทำได้ดีอยู่บ้าง
เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ เหมือนแมนฯ ยูไนเต็ดเป็นเครื่อง PC ที่ประกอบไปด้วยองค์ประกอบชิ้นส่วนหลากหลายในทีมและลงระบบปฏิบัติการแบบ Windows 98 เอาไว้
แต่อโมริมเข้ามาพยายามจะหาทางลงระบบ macOS ที่เรียบหรูดูดีกว่า
ถามว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ไหม? ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับจูนกันอีกมาก ซึ่งระยะเวลาเพียงแค่สัปดาห์เดียวและเป็นสัปดาห์ในช่วงโปรแกรมทีมชาติ ต่อให้เป็นโค้ชสมัยใหม่ที่เก่งและได้รับการยกย่องอย่างอโมริม เขาก็ไม่ใช่ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่จะเสกคาถาเปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่ได้เพียงแค่ตวัดคทาของพ่อมด
โดยที่ชัดเจนว่าเขาไม่สามารถเปลี่ยน Mindset หรือ Mentality ของผู้เล่นที่ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ด ผิดหวังตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้ในระยะเวลาอันสั้น และนั่นเป็นสิ่งที่เจ้าตัวก็ยอมรับว่าต้องใช้เวลา และจะต้องผ่านความเจ็บปวดกันอีกยาวไกล
“ผมรู้ว่ามันน่าหงุดหงิดผิดหวังสำหรับแฟนๆ แต่เรากำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงเวลานี้ที่มีเกมจำนวนมาก เราคงจะต้องเจอกับความเจ็บปวดกันอีกยาวนาน เราจะพยายามที่จะเอาชนะให้ได้แต่มันอาจจะต้องใช้เวลาบ้าง”
มันไม่ง่ายเหมือนเปิดปิดสวิตช์ไฟว่าไหม
โดยหน้าที่ของอโมริม เขาจำเป็นจะต้องหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้ ซึ่งมันมีการพูดถึงอยู่ 2 แนวทางด้วยกัน
- เปลี่ยนแปลงระบบการเล่นใหม่ให้เหมาะสมกับผู้เล่นที่มี
- เปลี่ยนแปลงผู้เล่นใหม่ให้เหมาะสมกับระบบการเล่น
ทางที่ง่ายกว่าและลงทุนน้อยกว่าคืออย่างแรก เพียงแต่ด้วยระบบของอโมริมเป็นระบบที่เป็นลายเซ็นเฉพาะตัว ยากจะเปลี่ยนแปลงทั้งหมด เพราะนั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงผลงานการคิดค้นของเขาเอง รวมถึงความเชื่อด้วย
สิ่งที่เราน่าจะได้เห็นคือการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นให้เหมาะสมกับระบบการเล่นมากกว่า และนั่นคือความท้าทายสำหรับกุนซือชาวโปรตุเกส
ความจริงแล้วในทีมแมนฯ ยูไนเต็ดไม่ถึงกับไม่มีผู้เล่นที่จะเข้ากับระบบการเล่นของเขาไม่ได้ นักเตะอย่าง ลิซานโดร มาร์ติเนซ, ค็อบบี ไมนู, ชอว์, อูการ์เต, มาซราอุย, ฮอยลุนด์ ยังพอหลับตาแล้วมองเห็นว่าน่าจะไปต่อได้
ปัญหาใหญ่น่าจะเป็นนักเตะที่เป็นสตาร์ของทีมอย่างบรูโน, แรชฟอร์ด หรือแม้แต่การ์นาโชเองที่ต้องปรับตัวและหาที่หาทางให้ได้
ที่เหลือคือการสนับสนุนจากฝ่ายบริหารในการเติมนักเตะที่จะเหมาะสมกับระบบและวิธีการเล่นมากกว่านี้เข้ามาในช่วงตลาดการซื้อขายในอนาคต แม้ว่าจะรู้ว่านับจากนี้ทีมจะไม่สามารถเทงบมหาศาลได้อีกเพราะเพดานการใช้จ่ายแทบจะตันแล้ว มากกว่านี้อาจจะละเมิดกฎ PSR ได้
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ยากที่สุดคือเรื่องของการเปลี่ยน ‘ความคิด’ ของผู้เล่น ทำอย่างไรให้เชื่อและทำตามสิ่งที่เขาพยายามจะบอก
ปัญหานี้ โชเซ มูรินโญ, โอเล กุนนาร์ โซลชาร์, ราล์ฟ รังนิก ไปจนถึง เอริก เทน ฮาก พยายามแล้วทุกคน แต่ไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จ
แต่มากบ้างน้อยบ้างเกมที่พอร์ตแมนโรดก็ไม่ใช่จะมองเห็นแค่ความมืด
เราพอมองเห็นประกายแสงเล็กๆ บ้างในเกมแรกของอโมริม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเล่นฟุตบอลที่มีความ ‘ไดนามิก’ มากขึ้น การเล่นที่รวดเร็ว การสอดประสานในเกมรุก (ตัวอย่างที่ดีมากๆ คือประตูขึ้นนำ) พูดง่ายๆ คือมีความตั้งใจดีแต่ยังต้องทำให้ดีขึ้นกว่านี้อีกมาก
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่มองเห็นได้คือแววตาของอโมริมผู้ผิดหวัง
ในความผิดหวังในนัยน์ตาที่ไม่อาจซ่อนได้มิดนั้น เต็มไปด้วยความรู้สึกของคนที่คิดอยากจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้กลับมาดีได้อีกครั้ง
เป็นสายตาของคนที่ ‘แคร์’ จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดสวยหรู
มันทำให้คิดถึงในช่วงแรกของ เจอร์เกน คล็อปป์ กับลิเวอร์พูล ที่ก็ไม่ได้เริ่มต้นสวยงามอะไรนัก ทีมเต็มไปด้วยปัญหา นักเตะไม่ดีพอที่จะเล่นในฟุตบอลฉบับ Heavy Metal Football ได้ แต่ด้วยความตั้งใจ ด้วยความจริงใจ ทุกอย่างก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ
การสั่งจากอโมริมให้นักเตะเดินไปขอบคุณแฟนๆ ที่ตามมาเชียร์หลังจบเกมอาจจะเป็นสิ่งเล็กๆ
แต่สิ่งเล็กๆ ที่เริ่มต้นจากความรักแบบนี้เองที่อาจจะกลายเป็นสิ่งที่นำไปสู่ช่วงเวลาดีๆ ที่สวยงามได้ในอนาคต
อ้างอิง:
- https://www.bbc.com/sport/football/articles/c1e71wvgp96o
- https://www.bbc.com/sport/football/articles/c5y5j5wnygko
- http://www.premierleague.com/news/4176341
- จบเกมนี้ค่า xG ของแมนฯ ยูไนเต็ดอยู่ที่ 0.90 ซึ่งต่ำที่สุดเป็นลำดับที่ 3 ในฤดูกาลนี้ของพวกเขา ตรงข้ามกับอิปสวิชที่ค่า xG อยู่ที่ 1.7 สูงที่สุดในฤดูกาลนี้
- ค่าสถิติการวิ่งรวม (Distance) ของแมนฯ ยูไนเต็ดอยู่ที่ 102 กิโลเมตร ต่ำที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของฤดูกาลนี้