ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกกล่าวถึงอย่างต่อเนื่องสำหรับกรณีของเวทีประกาศรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ กับกติกาการคัดเลือกภาพยนตร์ไทยเพื่อเข้าชิงรางวัล ซึ่งสร้างความไม่เป็นธรรมกับภาพยนตร์อิสระ และะส่งผลให้ผู้กำกับและทีมงานเบื้องหลังภาพยนตร์ไทยหลายคนออกมาร่วมติดแฮชแท็ก #แบนสุพรรณหงส์ และประกาศถอนตัวจากการถูกรับเลือกให้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอย่างต่อเนื่อง เพื่อเรียกร้องให้ทางสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติแก้ไขกติกาดังกล่าว
ล่าสุด มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับภาพยนตร์ไทย เจ้าของผลงานอย่าง รักแห่งสยาม (2550) เป็นอีกหนึ่งบุคคลในวงการภาพยนตร์ไทยที่ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความเห็นต่อกรณีที่เกิดขึ้นเช่นกัน
โดย มะเดี่ยว ชูเกียรติ ได้กล่าวถึงคุณค่าของการมอบรางวัลให้กับทีมงานไว้ว่า ภาพยนตร์คืองานศิลปะที่ถูกสร้างขึ้นจากความตั้งใจของทีมงานหลายตำแหน่ง และรางวัลที่ทรงเกียรติคือการมอบให้เพื่อสรรเสริญความตั้งใจทุ่มเทของคนและผลงานของเขา ดังนั้นแล้วไม่ว่าภาพยนตร์เรื่องนั้นจะเล็กหรือใหญ่ ภาพยนตร์ทุกเรื่องล้วนมีสิทธิ์ที่จะได้รับการประกาศเกียรติคุณอย่างเท่าเทียมกัน
พร้อมกล่าวเสริมว่า รางวัลสุพรรณหงส์กำลังเดินไปสู่ทิศทางที่ตรงกันข้ามต่อการให้คุณค่าอื่นๆ ของภาพยนตร์ รวมถึงเพิกเฉยต่อคนทำงานมาระยะหนึ่งแล้ว ตนเองจึงขอร่วมการ #แบนสุพรรณหงส์ จนกว่าทางสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติจะเห็นคุณค่าของคนทำงาน และเลิกเอื้อประโยชน์ต่อคนไม่กี่กลุ่มจนลืมไปว่าวงการไม่ได้ขับเคลื่อนไปด้วยเม็ดเงินเพียงอย่างเดียว
สำหรับข้อความฉบับเต็มของมะเดี่ยว ชูเกียรติ ระบุว่า
“รางวัลที่ทรงเกียรติคือการมอบให้เพื่อสรรเสริญความตั้งใจทุ่มเทของคนและผลงานของเขา ภาพยนตร์คือศิลปะแขนงหนึ่งที่ใช้ความวิริยะอุตสาหะของคนหลายตำแหน่ง และเราเชื่อว่าไม่ว่าเม็ดเงินในการสร้างมากหรือน้อย หนังจะมีคนดูนับแสนเก็บเงินได้ร้อยล้าน หรือมีคนดูเพียงหยิบมือ มันมีสิทธิ์ที่จะได้รับการประกาศเกียรติคุณอย่างเท่ากัน
“ภาพยนตร์เป็นทั้งสื่อสารมวลชน เป็นศิลปะ เป็นวิทยาศาสตร์ และเป็นอุตสาหกรรม ตลอดทั้งอายุขัยของหนังไทยที่เข้าโรงถูกประเมินค่าด้วยมูลค่าทางอุตสาหกรรมมาตลอดอยู่แล้ว เวทีสุพรรณหงส์กำลังเดินไปสู่ทิศทางที่ตรงกันข้ามต่อการให้คุณค่าอื่นๆ ของภาพยนตร์
“ที่ผ่านมาคนทำงานเบื้องหลังจำนวนมากที่ควรจะได้ประกาศตัวตนของเขาและเธอผ่านเวทีแห่งนี้ก็ถูกลิดรอนแสงไฟที่จะสาดส่องและปิดเสียงที่พวกเขาควรจะได้รับการมองเห็นและได้ยิน เพราะที่ตรงนั้นยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นหลังของวงการที่จะได้เดินไปสู่จุดที่ผู้คนมองเห็นและให้ความสำคัญ โดยไม่ต้องเป็นดารา เป็นผู้กำกับ หรือเป็นนายทุน รางวัลสุพรรณหงส์ได้เพิกเฉยต่อคนทำงานมาระยะหนึ่งแล้ว
“ด้วยกฎใหม่จากสมาพันธ์ฯ ที่จำกัดสิทธิ์ภาพยนตร์อิสระออกจากเวทีการประกวด เป็นการตอกย้ำการไม่เห็นคุณค่าของ #คนทำหนัง และ #คุณค่าของศิลปะภาพยนตร์ อย่างเท่าเทียม เราจึงไม่คิดว่ารางวัลนี้จะสง่างามพอที่จะให้คุณค่าเช่นกัน
“จึงขอเป็นกำลังใจแก่คนทำหนังและร่วมการ #แบนสุพรรณหงส์ จนกว่าคณะทำงานของสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติจะเห็นคุณค่าของคนทำงาน และเลิกเอื้อประโยชน์ต่อคนไม่กี่กลุ่มจนลืมไปว่าวงการไม่ได้ขับเคลื่อนไปด้วยเม็ดเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีคนทำงานอีกมากมายที่ขับเคลื่อนวงการนี้ด้วยความฝัน ด้วยหยาดเหงื่อ ด้วยจิตวิญญาณ และกระทั่งด้วยชีวิต
“ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้
“มะเดี่ยว”
อ้างอิง: