วันนี้ (13 มกราคม) ‘มาดามหลี’ สรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เขตหลักสี่-จตุจักร กรุงเทพมหานคร เบอร์ 7 จากพรรคพลังประชารัฐ มอบหมายให้ สิระ ขาวนุ่น ผู้ช่วยเดินทางมาร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จากการให้สัมภาษณ์ของ อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า ผู้สมัคร ส.ส. จากพรรคกล้า ในรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ทางช่อง 9 ว่า พรรคพลังประชารัฐน่าจะส่งคนที่มีคุณภาพมากกว่านี้มาลงสมัคร เข้าข่ายการหาเสียงด้วยลักษณะโจมตี ใส่ร้ายป้ายสี ที่ถือกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งกรณีหาเสียงเลือกตั้ง ว่าด้วยการหลอกลวงใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ตามมาตรา 73 (5) พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือไม่
จากนั้นสรัลรัศมิ์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า การลงเล่นการเมืองของตนในครั้งนี้มีความตั้งใจเพื่อดูแลประชาชนชาวหลักสี่-จตุจักร ต่อจากที่ สิระ เจนจาคะ ดำเนินการมาเท่านั้น ไม่เคยคิดจะเป็นศัตรูหรือใส่ร้ายป้ายสีใคร ประชาชนและสื่อมวลชนเห็นการสัมภาษณ์ของดิฉันมาโดยตลอด ซึ่งจะเห็นว่าดิฉันไม่เคยพูดพาดพิงผู้สมัครจากพรรคการเมืองอื่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในฐานะสุภาพสตรี ดิฉันขอให้การแข่งขันครั้งนี้แข่งกันด้วยความเป็นสุภาพบุรุษอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี ขอให้เป็นการเสนอนโยบายพรรคของตัวเองเพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ โดยไม่จ้องที่จะโจมตีให้ร้ายกัน
สรัลรัศมิ์กล่าวต่อไปว่า ดิฉันไม่เห็นถึงเหตุจำเป็นในการให้ร้ายใครเพื่อทำลายคะแนนเสียงของฝั่งตรงข้าม เพราะสุดท้ายแล้วประชาชนจะตัดสินลงคะแนนจากสิ่งที่พวกเขาเห็นและได้สัมผัส ไม่ใช่วาจากล่าวร้าย ดิฉันไม่ทราบว่าการพูดจาดูหมิ่นเกียรติของดิฉันว่าไม่มีคุณภาพ พรรคน่าจะหาคนที่มีคุณภาพกว่านี้ อรรถวิชช์เอาอะไรมาเป็นเกณฑ์ตัดสินศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ว่าใครเก่งหรือไม่เก่ง การพูดออกมาเช่นนี้เพียงเพราะต้องการทำลายภาพลักษณ์ของดิฉัน และหวังว่าประชาชนจะไปเลือกตัวเองแทน ซึ่งดิฉันขอใช้สิทธิร้องเรียนครั้งนี้เพื่อปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเอง
“ดิฉันยังได้รับเสียงร้องเรียนจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชนริมคลองที่ถูกอรรถวิชช์พาดพิงว่ามีการซื้อเสียงโดยไม่มีหลักฐาน ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่เห็นว่าถูกอรรถวิชช์ดูถูกและกล่าวหาว่าพวกเขาขายสิทธิขายเสียงของตัวเอง จนมีการแสดงความคิดเห็นในโลกโซเชียลมากมายว่า อยากเป็นคนหลักสี่ได้เงินหัวละตั้ง 3,000 บาท ข้อความเหล่านี้ถือว่าเป็นการดูถูกความคิดของชาวหลักสี่-จตุจักรอย่างมาก” สรัลรัศมิ์กล่าว
สรัลรัศมิ์ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า กำลังให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบว่าเข้าข่ายความผิดทางอาญาด้วยหรือไม่ โดยจะดำเนินคดีเอาผิดอรรถวิชช์ที่สถานีตำรวจนครบาล (สน.) ทุ่งสองห้อง ต่อไป และหากมีความผิดจริง อรรถวิชช์ถือเป็นกรรมการบริหารพรรคกล้า ซึ่งอาจมีผลถึงขั้นยุบพรรคด้วย