ยอดขายของ LVMH อาจตกลงถึง 20% ในไตรมาสแรกเพราะโควิด-19

LVMH กลุ่มบริษัทสินค้าลักชัวรีเบอร์หนึ่งของโลกกล่าวว่า รายได้ของบริษัทในไตรมาสแรกจะหดตัวลงประมาณ 10-20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว เป็นผลมาจากการปิดหน้าร้านในช่วงการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโรคโควิด-19

ก่อนที่ทางบริษัทจะออกมาเปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 เมษายนนี้ ทางบริษัทกล่าวว่าในขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินตัวเลขออกมาได้อย่างชัดเจนได้

จากการประกาศของบริษัทนี้ที่รายงานโดยเว็บไซต์ Bloomberg กล่าวว่า “ในสภาวะที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ ทางกลุ่มบริษัทจะมุ่งเน้นกลยุทธ์การรักษาคุณค่าของแบรนด์ต่อไป”

ท่ามกลางสถานการณ์ของการระบาดของไวรัสโคโรนาที่เพิ่มสูงขึ้นในสหรัฐอเมริกาและยุโรปทำให้ทางบริษัทต้องปิดหน้าร้านเพิ่มขึ้น จากเดิมที่สั่งปิดในประเทศจีนที่ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของกลุ่มบริษัท โดยมีสัดส่วนถึงร้อยละ 35 ในตลาดสินค้าลักชัวรีทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นชาวจีนในพื้นที่และชาวจีนที่เดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศก็ตาม รวมไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าการระบาดจากสถานการณ์การประท้วงบนเกาะฮ่องกงที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่บ้านปีที่แล้ว จนถึงต้นเดือนมกราคมที่ทำให้บริษัทต้องปิดหน้าร้านเป็นการชั่วคราว

นอกจาก LVMH แล้ว กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน ในฝั่งของ Kering กลุ่มบริษัทที่มีแบรนด์ใหญ่อย่าง Gucci, Saint Laurent, Balenciaga ที่ออกมาระบุว่า ยอดขายในไตรมาสแรกจะตกลงประมาณ 15% เช่นเดียวกันกับ Burberry Group ที่รายได้ลดลงถึง 40-50% จาก 6 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ตาม ในฝั่งของประเทศจีนที่สถานการณ์เริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติ ทำให้แบรนด์วางแผนที่จะกลับมาเปิดหน้าร้านอีกครั้ง จึงเป็นอีกสัญญาณที่ดีในช่วงวิกฤตนี้

ในช่วงวิกฤตโรคโควิด-19 ทั่วโลก LVMH ถือเป็นอีกหนึ่งองค์กรแฟชั่นที่ออกมาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบรายแรกๆ ทั้งการบริจาคเงินจำนวน 16 ล้านหยวนให้สภากาชาดจีน นอกจากนี้ยังเปลี่ยนโรงงานผลิตน้ำหอมของบริษัทมาเป็นที่ผลิตเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และในเวลาที่ประเทศฝรั่งเศสกำลังขาดแคลนหน้ากากอนามัย ทางบริษัทได้สั่งหน้ากากอนามัยมาจากประเทศจีนจำนวนกว่า 40 ล้านชิ้นเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้ที่ต้องการ

ภาพ: Marc Piasecki / Getty Images

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง: