จุดเริ่มต้นของปัญหา
DCG หรือบริษัท Digital Currency Group เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในโลกคริปโต มีการไปลงทุนในโปรเจกต์ต่างๆ มากมาย มีบริษัทลูกดังๆ อย่างเช่น Genesis ที่ทำเรื่อง Lending, Greyscale ทำกองทุน และ CoinDesk ที่เป็นสำนักข่าวคริปโต
ปี 2022 ที่ผ่านมา เป็นปีที่สาหัสสากรรจ์สำหรับ Genesis เอามากๆ โลกคริปโตมีวิกฤตอะไรก็เจ็บกับเขาทุกรอบ เช่น ขาย BTC ให้กับ LFG โดยรับเงินเป็น UST จำนวน 1 พันล้านดอลลาร์ สัปดาห์ต่อมา Terra แตก, ปล่อยกู้กองทุน 3 Arrow Capital (3AC) ไป 2.36 พันล้านดอลลาร์ พอ 3AC ล้มละลาย ก็เจ๊งไป 1.2 พันล้านดอลลาร์, ปล่อยกู้กองทุน Alameda โดยรับเหรียญ FTT เป็นตัวค้ำประกัน พอ FTX ล่มสลาย FTT ก็ศูนย์ แถม Genesis ยังมีเงินค้างอยู่ในบัญชีเทรดที่ FTX อีก 175 ล้านดอลลาร์ และถอนออกมาไม่ได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ย้อนรอยวิกฤตคริปโต การล่มสลายของ FTX รอบนี้จะสั่นสะเทือนตลาดคริปโตได้เหมือนรอบ Mt.Gox ปี 2014 หรือไม่?
- บิล แอคแมน เริ่มใจอ่อน เผย มองคริปโตในมุมบวกมากขึ้น ถึงขั้นเริ่มเข้าลงทุนบ้างแล้ว
- แม้แต่ ‘จัสติน บีเบอร์’ ยังขาดทุน! ผลงาน NFT จาก Bored Ape Yacht Club ที่ซื้อมาด้วยราคา 46.4 ล้านบาท ตอนนี้หล่นลงเหลือ 2.5 ล้านบาท
วิกฤตซ้อนวิกฤตของ Genesis
รวมๆ แล้ว Genesis มีภาระหนี้รวมกัน 2.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่ง Genesis ก็แก้ปัญหาด้วยการปลดพนักงานออก 30% หยุดการปล่อยกู้ บล็อกห้ามลูกค้าถอนเงินออก และเร่งระดมทุนมาเติมอีก 1 พันล้านดอลลาร์
แต่จนแล้วจนรอด Genesis ก็ไม่สามารถระดมทุนมาได้ ขาใหญ่อย่าง Binance ก็ปฏิเสธมาอย่างสุภาพ หรือแม้กระทั่งยอมลดเป้าลงมาเป็น 500 ล้านดอลลาร์แล้วก็ยังหาคนมาลงไม่ได้ ทุกคนที่จับตาดูเรื่องนี้ต่างก็เริ่มร้อนรนว่าทำไม DCG ปล่อยให้คาราคาซัง ไม่จัดการอะไรสักที โดยเฉพาะบรรดาเจ้าหนี้ของ Genesis ที่อยากให้เรื่องรีบๆ จบ จะได้รีบเอาเงินออกมา
และหนึ่งในเจ้าหนี้ที่ตามจี้เรื่องนี้มาตลอดก็คือ Crypto Exchange ชื่อดัง Gemini ของฝาแฝด Winklevoss ที่มีเงินลูกค้า 900 ล้านดอลลาร์ จากบริการ Crypto Earn ถูกแช่แข็งไว้ใน Genesis และโดนห้ามถอนออกมาเหมือนกัน
จนวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา สองแฝดอดรนทนไม่ได้ ก็จัดแจงทวีต Open Letter ถึงบอร์ดและ CEO ของ DCG พร้อมแท็กมารับทราบพฤติกรรม ประจานชาวโลกกันบนทวิตเตอร์
ซึ่งใน Open Letter นั้นนอกจากจะเร่งให้ดำเนินการแล้ว ก็ยังได้ทิ้งบอมบ์ระดับนิวเคลียร์ไว้ให้ DCG ด้วยว่ารู้นะว่า DCG เป็นลูกหนี้ Genesis อยู่ 1.675 พันล้านดอลลาร์ และ Genesis ก็ติดเงิน Gemini อยู่อีกทอด ฉะนั้นรีบๆ จ่ายให้ Genesis ซะ แล้ว Genesis จะได้ปล่อยเงินออกมา
สถานการณ์ล่าสุด
ต่อมาวันที่ 10 มกราคม DCG ก็ได้ออกจดหมายแถลงอย่างเป็นทางการ ระบุว่าหนี้ของ DCG กับ Genesis ตอนนี้อยู่ที่ 447.5 ล้านดอลลาร์ กับอีก 4,500 BTC ซึ่งจะถึงกำหนดจ่ายคืนเดือนพฤษภาคม 2023 กับ Promissory Note อีก 1.1 พันล้านดอลลาร์ รวม 1.675 พันล้านดอลลาร์
ส่วน Promissory Note หรือตั๋วสัญญาใช้เงิน 1.1 พันล้านดอลลาร์นั้น คือตั๋วที่ DCG ออกให้ Genesis ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2022 ตอนที่ Genesis มีปัญหาจาก 3AC โดยแลกกับการต้องยกสิทธิในเงิน 2.36 พันล้านดอลลาร์ ที่ Genesis เคยให้ 3AC ยืม (แล้ว 3AC Default นั้น) ให้ DCG ไปเลย และถ้าในอนาคตได้เงินจาก 3AC คืนมาเท่าไร ก็เอามาหักกับ 1.1 พันล้านดอลลาร์นี้
ถ้ามองด้วยมุมมองทางบัญชี ก็คือ DCG บริษัทแม่เข้ามาช่วยยื้อชีวิต Genesis ไว้ไม่ให้ล้ม แต่ก็ช่วยแบบเอาตัวเลขมาใส่ Balance Sheet ให้นะ เงินจริงไม่มา
ในแถลงการณ์ยังย้ำอีกว่า Promissory Note ตัวนี้จะหมดอายุในปี 2032 และไม่เป็น Callable Bond หรือไม่สามารถไถ่ถอนก่อนกำหนดได้ หรือเรียกง่ายๆ ว่า ต่อให้ DCG ได้เงินจาก 3AC มาแล้ว หรือ Genesis ล้มไป DCG ผู้ออกตั๋วก็จะจ่ายเงินเมื่อถึงเวลาเท่านั้น ไม่มีการจ่ายก่อน ฉะนั้น Gemini จะมาเรียกให้เอาก้อนนี้มาจ่ายไม่ได้
ทางแก้ปัญหาต่อจากนี้
ตอนนี้คือเรื่องคาราคาซังอยู่ตรงที่ Genesis ก็ยื้อไม่จ่ายหนี้ รอให้ระดมทุนมาได้หรือได้เงินคืนจาก 3AC ค่อยว่ากัน ส่วน DCG บริษัทแม่ก็เล่นบทเจรจาถ่วงเวลาไป
ทีนี้ถ้าเราลองวิเคราะห์ทางเลือกว่า DCG และ Genesis จะทำอะไรได้บ้างในสถานการณ์แบบนี้ ก็จะเห็นว่ามีความเป็นไปได้อยู่ 7 ทาง
- Restructure Loan Book ของ Genesis ที่มี Asset อยู่ 8 พันล้านดอลลาร์ เอามาจ่าย: อันนี่เป็นข้อเสนอของ Gemini ซึ่งทาง DCG และ Genesis ยังไม่ตอบรับข้อเสนอนี้
- Genesis ระดมทุนมาได้ หรือได้เงินคืนจาก 3AC: โอกาสจะเป็นไปได้ในอนาคตอันใกล้นี้น้อยมากๆ
- Genesis เข้าสู่กระบวนการปกป้องกิจการชั่วคราวระหว่างฟื้นฟูกิจการ หรือที่เรียกกันว่า Chapter 11: ทางเลือกนี้มีความเป็นไปได้สูง เพื่อให้มีเวลาหายใจโดยเจ้าหนี้ไม่มารุมทึ้ง Asset อื่น แต่ต้องระวังว่ากลุ่มเจ้าหนี้ก็สามารถรวมตัวกันมากกว่า 3 คน ยื่นขอคัดค้านได้เช่นกัน
- DCG ขายคริปโตที่มีอยู่เอามาใช้หนี้: มีความเป็นไปได้ แต่ในสภาพตลาดขาลงแบบนี้ ขายไปก็ขาดทุน Genesis อาจจะต้องใช้วิธีดันตลาดให้ขึ้นไปก่อนแล้วค่อยเทขาย ซึ่งหลายคนเชื่อกันว่าทางเลือกนี้เป็นที่มาของราคาคริปโตที่เริ่มปรับตัวเป็นบวกในช่วงนี้
- DCG ขายหน่วยลงทุน GBTC และ ETHE ใช้หนี้: มีความเป็นไปได้ แต่ก็จะขาดทุนยับๆ เพราะตั้งแต่มีข่าวว่า Genesis อาการไม่ดี กองทุนทั้งสองกองก็ถูกซื้อขายกันที่ราคา Discount ถึง 45% สำหรับ GBTC และ 56% สำหรับ ETHE จากมูลค่าของสินทรัพย์
ตอนนี้ GBTC+ETHE ที่ DCG ถืออยู่มีมูลค่า 629 ล้านดอลลาร์ (Discount จากราคาพาร์ 1.17 พันล้านดอลลาร์) และถ้าขายในตลาดอาจจะโดน Slippage ถึง 25% เท่ากับส่วนนี้น่าจะมีมูลค่าประมาณ 471 ล้านดอลลาร์
ขอเล่าเสริมเรื่อง GBTC และ ETHE เล็กน้อย ทั้งสองตัวคือกองทุนที่ Greyscale สร้างขึ้นมา โดยสินทรัพย์ข้างในกองคือ BTC และ ETH เพียงอย่างเดียว และไม่สามารถเอาหน่วยลงทุนมาแลกเป็น BTC หรือ ETH ได้ หรือเรียกง่ายๆ ว่าสร้างขึ้นมาเพื่อแปลง BTC และ ETH ให้เป็นหลักทรัพย์ มีการจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์อย่างถูกต้อง เป็นช่องทางให้นักลงทุนสถาบันสามารถลงทุนใน BTC และ ETH ได้แบบไม่ขัดใจ ก.ล.ต. โดยถือผ่านกองทุน 2 กองนี้
- DCG ขาย Greyscale ใช้หนี้: มีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากเป็นทางเลือกที่ DCG จะเจ็บที่สุด เพราะ Greyscale ถือว่าเป็นบริษัทลูกระดับเรือธงของกรุ๊ป บริหารเงินระดับ 10B AUM สร้างรายได้ปีละถึง 270 ล้านดอลลาร์
มูลค่าของ Greyscale ที่มี Revenue 270 ล้านดอลลาร์ต่อปี ถ้าสมมติคิดว่ามี Profit Margin 70% ก็เท่ากับมีรายได้ 189 ล้านดอลลาร์ ถ้าเอารายได้จาก Greyscale ไปผ่อนจ่ายหนี้ 1.675 พันล้านดอลลาร์ ก็ต้องใช้เวลา 8-9 ปี เจ้าหนี้คงไม่ยอมแน่ๆ แต่ถ้าสมมติขายได้ 3X Multiple ก็น่าจะมีมูลค่า 567 ล้านดอลลาร์
- ปล่อย Genesis ล้มไปเลย: ตัดจบไป ให้เจ้าหนี้เข้ามาจัดการต่อ อันนี้ก็มีความเป็นไปได้ไม่น้อย
ถ้ามาดูฝั่งหนี้บ้าง จากยอดหนี้ทั้งหมด 1.675 พันล้านดอลาร์ ถึงจะดูเยอะมหาศาล แต่ยอด 1.1 พันล้านดอลลาร์ กว่าจะ Due ก็อีก 10 ปีข้างหน้า ตอนนี้ถ้าหามาได้สัก 500-600 ล้านดอลลาร์ ก็น่าจะช่วยให้ผ่านช่วงนี้ไปได้
ประเด็นที่จะต้องจับตามองต่อจากนี้
เชื่อว่า DCG และ Genesis ยังไงระหว่างนี้ก็จะใช้ทางที่ 2 คือยื้อให้ถึงที่สุดไปก่อน และพิจารณา Chapter 11 หรือปล่อยล้มไปเลยเป็นทางเลือกรองลงมา แล้วถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ค่อยเลือกทางที่ 4 และ 5 ผสมกัน คือเทขายคริปโต, GBTC และ ETHE ออกมาเป็นมูลค่าอย่างน้อย 500-600 ล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการล้มแล้วเจ้าหนี้เอามาเทขายหรือยอมขายเอง ก็จะเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่จะส่งผลอย่างต่อเนื่องกับทั้งตลาด Spot และ Future อย่างแน่นอน ฉะนั้นต้องจับตามองก้าวย่างต่อจากนี้ไปของ DCG และ Genesis อย่างใกล้ชิด
และอีกประเด็นคือต้องติดตามว่า Gemini จะดูแลรับผิดชอบลูกค้าตัวเองยังไง เพราะแม้ว่าจะได้รับเครดิตไปในฐานะ Whistle-Blower แต่ในอีกแง่หนึ่งก็เป็นการโยนความผิดไปให้คนอื่น เพราะตามหลักการแล้วไม่ว่าหลังบ้านจะเกิดปัญหาอะไร Gemini ก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบหลักต่อลูกค้าตัวเอง การออกมาบิดประเด็นให้ Genesis รับผิดชอบก่อนแล้วพอตัวเองได้เงินค่อยมาให้ลูกค้าตัวเองอีกที แบบนี้ไม่ได้
ส่งท้าย
ปัญหาของ Genesis และ DCG มีความเป็นมาที่ซับซ้อนมาก แต่ถ้าไล่ย้อนกลับไปที่ต้นเหตุของปัญหาแล้ว จะเห็นว่าเกิดจากการผิดพลาดซ้ำๆ ในด้านการประเมินและบริหารความเสี่ยงของ Genesis เอง จากนั้นถูกขยายผลด้วยการบริหารงานที่ผิดพลาดและการขาดความโปร่งใส กลายเป็นปัญหาเรื้อรัง สร้างผลกระทบต่อเนื่องให้กับนักลงทุนเป็นจำนวนมาก และยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ ซึ่งนักลงทุนและหน่วยงานกำกับดูแลจำเป็นต้องติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด และสร้างฉากทัศน์เพื่อประเมินผลกระทบที่น่าจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างถูกต้องครับ