ศาลอังกฤษตัดสินว่า ลูซี เลตบี อดีตพยาบาลดูแลเด็กวัย 33 ปี มีความผิดจริงในข้อหาฆาตกรรม 7 คดี และพยายามฆ่าอีก 7 คดี โดยศาลระบุว่า เลตบีได้ทำร้ายร่างกายทารกที่อยู่ในความดูแลของเธอ ขณะที่เธอทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเคาน์เตสแห่งเชสเตอร์ในเมืองเชสเชียร์ของเกาะอังกฤษ ในช่วงปี 2015-2016
รายงานเผยว่าเลตบีฉีดอากาศเข้าไปในเส้นเลือดและช่องท้องของเด็ก ป้อนนมมากจนเกินไป รวมถึงวางยาพิษด้วยการฉีดอินซูลินให้เป็นอันตรายต่อตัวเด็ก จนทำให้เด็กเสียชีวิต 7 คน นับเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่เลือดเย็นที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์อังกฤษ
ตำรวจอังกฤษยังตรวจพบกองบันทึกที่เขียนด้วยลายมือของเธอในบ้านพักระหว่างสืบสวน มีข้อความระบุว่า “ฉันไม่สมควรมีชีวิตอยู่ ฉันฆ่าพวกเขาโดยเจตนา เพราะฉันไม่เก่งพอที่จะดูแลพวกเขา”
“ฉันเป็นปีศาจ ฉันชั่วร้ายที่ทำแบบนี้”
สำนักงานอัยการสูงสุดอังกฤษ (CPS) ระบุว่า เลตบีมีความตั้งใจที่จะฆ่าเด็กทารกเหล่านั้น พร้อมกับหลอกให้เพื่อนร่วมงานของเธอเชื่อว่าเด็กๆ มีสาเหตุการตายตามธรรมชาติ โดยอัยการกล่าวว่า สารที่ไม่เป็นอันตรายอย่างเช่นน้ำนม อากาศ ของเหลว หรือแม้แต่ยาอย่างอินซูลิน ก็กลายเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ถ้าหากอยู่ในมือของเธอ
โดยการฆาตกรรม 5 ครั้งแรกเกิดขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคมปี 2015 ซึ่งก่อนหน้านั้นหน่วยทารกแรกเกิดมีรายงานเด็กเสียชีวิตราว 2-3 ครั้งต่อปี แต่ในเดือนมิถุนายนปีนั้นมีเด็กทารกเสียชีวิตมากถึง 3 คนภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเด็กที่เสียชีวิตในขณะที่เลตบีเข้าเวรพยาบาลในช่วงกะดึก จึงเริ่มมีความพยายามเรียกร้องให้ตรวจสอบการทำงานของเลตบี แต่ผู้บริหารระดับสูงของโรงพยาบาลปฏิเสธ และเรียกร้องให้กุมารแพทย์ที่สงสัยในตัวของเลตบีกล่าวขอโทษต่อเธอ
ก่อนหน้านี้ ดร.สตีเฟน เบรียลีย์ หัวหน้าที่ปรึกษาทีมกุมารแพทย์ ได้เรียกร้องให้มีคำสั่งพักงานเลตบีและสืบสวนสอบสวนสาเหตุการเสียชีวิตของเด็กทารกว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเลตบีหรือไม่ แต่ก็ไม่เป็นผล
แม้จะมีเด็กที่เสียชีวิตและอาการทรุดลงมากเท่าไร แต่เลตบีก็ยังคงไม่ถูกพักงานในโรงพยาบาล โดยเธอได้ถูกย้ายให้ไปอยู่สำนักงานความเสี่ยงและความปลอดภัยผู้ป่วยของโรงพยาบาลแทน นั่นหมายความว่าเธอมีสิทธิ์เข้าถึงเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับหน่วยทารกแรกเกิดของโรงพยาบาล และยังสามารถใกล้ชิดกับผู้จัดการและทีมผู้บริหารของโรงพยาบาลที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบเธอได้อีกด้วย
มีความพยายามเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาจัดการกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นานหลายเดือน แต่ก็ถูกขัดขวางโดยทีมผู้บริหารระดับสูงของโรงพยาบาล ก่อนที่ช่วงต้นปี 2018 ตำรวจจะเริ่มต้นสืบสวนคดีนี้โดยใช้ชื่อว่า ‘ปฏิบัติการฮัมมิงเบิร์ด’ (Operation Hummingbird)
ในช่วงเย็นวันหนึ่ง ดร.เบรียลีย์ได้ตรวจพบความผิดปกติของประวัติการรักษาของเด็กทารกคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในภาวะที่ระดับอินซูลินในกระแสเลือดเป็นอันตรายต่อชีวิตเด็ก โดย ดร.เบรียลีย์อธิบายว่า ร่างกายคนเราสามารถผลิตอินซูลินได้ตามธรรมชาติ เมื่อสร้างอินซูลินก็จะผลิตสารที่เรียกว่า C-peptide ขึ้นมาด้วย แต่ค่าตรวจวัด C-peptide ในทารกคนนั้นแทบจะเป็นศูนย์ จึงเห็นได้ชัดว่ามีการฉีดอินซูลินเข้าสู่ร่างกายของเด็ก จุดนี้ปูทางไปสู่การขยายผลและจับกุมตัวเลตบีในท้ายที่สุด
ทางด้าน ดร.ซูซาน กิลบี ผู้อำนวยการด้านการแพทย์และรองประธานบริหารโรงพยาบาลคนใหม่ ระบุว่า เธอพบหลักฐานที่บ่งชี้ว่าทีมผู้บริหารระดับสูงเคยมีมติให้ตรวจสอบในประเด็นการเสียชีวิตของเด็กเหล่านี้ แต่สิ่งนั้นไม่เคยเกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสมาชิกทีมบริหารระดับสูงบางคนพยายามปกปิดสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อรักษาชื่อเสียงของตนเอง
นับตั้งแต่เลตบีออกจากหน่วยทารกแรกเกิดของโรงพยาบาลเคาน์เตสแห่งเชสเตอร์ มีเด็กเสียชีวิตเพียง 1 คนเท่านั้นในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา
สำหรับโทษที่เธอจะได้รับนั้น คาดว่าศาลแมนเชสเตอร์คราวน์ของอังกฤษจะพิจารณาตัดสินในวันที่ 21 สิงหาคมนี้
ภาพ: Cheshire Constabulary via Getty Images
อ้างอิง: