สำนักข่าว Reuters รายงานว่า ทางการท้องถิ่นในลอสแอนเจลิส เคาน์ตี รัฐแคลิฟอร์เนีย เตรียมกลับมาใช้มาตรการบังคับให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่ในอาคารและในที่สาธารณะ เริ่มตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์นี้ โดยถือเป็นสัญญาณล่าสุดที่บ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่กำลังเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบากมากขึ้น จากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยลอสแอนเจลิส เคาน์ตี ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองลอสแอนเจลิส ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐฯ และมีประชากรราว 10 ล้านคน เป็นหนึ่งในหลายพื้นที่ของประเทศที่เริ่มกลับมาใช้มาตรการบังคับสวมหน้ากากอนามัยและมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอื่นๆ โดยไม่คำนึงถึงอัตราการฉีดวัคซีนเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
“เราต้องการให้ทุกคนสวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่ในอาคาร ที่สาธารณะ และสถานประกอบธุรกิจต่างๆ โดยไม่คำนึงถึงสถานะการฉีดวัคซีน เพื่อให้เราสามารถยับยั้งระดับการแพร่ระบาดที่เพิ่มขึ้นอย่างที่เรากำลังเห็น” กรมอนามัยของลอสแอนเจลิส เคาน์ตี ระบุในข้อความที่โพสต์ทางทวิตเตอร์เมื่อวานนี้ (15 กรกฎาคม)
ประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในลอสแอนเจลิส เคาน์ตี เพิ่มขึ้นมากกว่าวันละ 1,000 คน ต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 โดยเมื่อวานนี้มีรายงานผู้ติดเชื้อ 1,537 คน และในวันพุธ (14 กรกฎาคม) พบว่า มีผู้ติดเชื้อกว่า 400 คน ที่อาการหนักจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และเสียชีวิต 9 คน
สำหรับมาตรการบังคับสวมหน้ากากอนามัยในลอสแอนเจลิส เคาน์ตี จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันเสาร์ (17 กรกฎาคม) ซึ่งนอกจากนี้พบว่าในเขตอื่นๆ ของรัฐแคลิฟอร์เนีย เช่น เฟรสโนและซาคราเมนโต ก็มีการเสนอให้กลับมาใช้มาตรการบังคับสวมหน้ากากอนามัยสำหรับประชาชนที่ฉีดวัคซีนแล้ว เช่นเดียวกับอีกหลายเมืองที่เริ่มแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่ในอาคาร หรือบังคับให้นักเรียนและครูต้องสวมหน้ากากอนามัยระหว่างเข้าชั้นเรียนช่วงฤดูร้อน
ขณะที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส ทางการประกาศเรียกร้องให้ประชาชนที่ยังไม่ฉีดวัคซีนและมีความเสี่ยงสูงสวมหน้ากากอนามัย พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงการเดินทางและการออกไปทานอาหารหรือซื้อสินค้านอกบ้าน ตลอดจนงดการรวมกลุ่มขณะอยู่ในอาคาร
ภาพ: Photo by Francine Orr / Los Angeles Times via Getty Images
อ้างอิง:
