วันนี้ (15 พฤษภาคม) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีร่วมกันฟอกเงิน – พ.ร.บ.การพนันฯ หมายเลขดำ อ.1429/2564 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้อง สมชาย จุติกิติ์เดชา หรือหลงจู๊สมชาย ผู้กว้างขวางย่านภาคตะวันออก, บริษัท เดอะ แคปปิทอล จำกัด โดย สมชาย จุติกิติ์เดชา หรือหลงจู๊ และ ธนา จุติกิติ์เดชา, จุฑามาศ วงษ์นิยม, อุไรวรรณ วงษ์นิยม, วราวุธ วรวุฒิปรีชาเวชช์, นภัสสร ปรุโปร่ง และ ธนา จุติกิติ์เดชา บุตรชายสมชาย เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและ พ.ร.บ.การพนันฯ
อัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดพวกจำเลยสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม 2562 – 30 มิถุนายน 2563 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1-3 กับพวกที่ยังหลบหนีร่วมกันจัดให้มีการเล่นพนัน ไฮโล, บาคารา, สล็อตแมชชีน, ไพ่เสือ และมังกร โดยไม่ได้รับอนุญาต ที่บ่อนการพนัน RJ มาบตาพุด ซอยธนาคารธนชาติ ถนนสุขุมวิท ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง
โดยมีการเปิดบัญชีธนาคาร 3 แห่ง เพื่อรับโอนเงินจากนักพนัน เพื่อนำไปซื้อชิปแทนเงินสดหลายครั้งหลายหนรวม 132,735,053 บาท
นอกจากนี้พวกจำเลยยังได้ร่วมกันกระทำผิดฐานฟอกเงิน โดยโอนเงิน เบิกถอน จ่ายโอนเงินลักษณะสมคบกัน เพื่อปกปิดแหล่งที่มา เปลี่ยนสภาพทรัพย์สินเพื่ออำพรางผ่านบุคคลและเครือข่าย ผ่านบัญชีธนาคารต่างกรรมต่างวาระกันจำนวน 8,828 ครั้ง รวมยอดเงิน 232,746,053 บาท
ขอให้ลงโทษพวกจำเลยฐานร่วมกันฟอกเงินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2485
พวกจำเลยให้การปฏิเสธและได้รับการประกันตัว
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในส่วนจำเลยที่ 1 และ 7 จากพยานหลักฐานที่เบิกความสนับสนุน ต่างไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับจำเลยที่ 1 จึงเชื่อได้ตามพยานโจทก์และพยานจำเลยเบิกความว่าจำเลยที่ 1 ประกอบอาชีพให้กู้ยืมเงินด้วยจริง ส่วนพยานโจทก์ผู้สืบสวนเส้นทางการเงินก็ล้วนแต่เป็นการรวบรวมคำให้การของนักพนันจากการสืบสวนหาข่าว ซึ่งเป็นพยานบอกเล่าทั้งสิ้น
พยานโจทก์ไม่ได้รู้เห็นด้วยตนเอง จึงฟังมีน้ำหนักน้อย ประกอบกับที่ได้วินิจฉัยข้างต้นแล้วว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐาน รับฟังได้ว่าบัญชีธนาคารในบัญชีที่ระบุของนายน้อย (เจ้าของบัญชีฟอกเงิน) และศิริพร เปิดขึ้นโดยเจตนาสมคบฟอกเงินเป็นการเฉพาะ แต่อาจเป็นไปได้ว่าเป็นการใช้บัญชีธนาคารตามปกติ
พฤติการณ์ส่อแสดงว่า เป็นการโอนเงินเพื่อชำระหนี้คืนตามกฎหมาย พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 7 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินฯ
ส่วนจำเลยที่ 2 พยานโจทก์ยืนยันไม่ได้ว่าการโอนเงินจำเลยที่ 1 และ 7 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 2 ได้รู้ว่าเงินที่นายน้อยโอนให้จำเลยที่ 2 ได้มาจากการเล่นพนันหรือเจตนาเปลี่ยนสภาพทรัพย์สิน เพื่อซุกซ่อน ปกปิด แหล่งที่มา ตามความผิดฟอกเงินฯ พยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน
ส่วนจำเลยที่ 3 และ 4 เมื่อพิเคราะห์ถึงจำนวนเงินที่นายน้อยโอนบัญชีก็ได้ความว่า ทำอาชีพให้กู้ยืมเงินรับซื้อขายที่ดิน จึงมียอดโอนเข้าบัญชีหลายรายการ เมื่อตรวจดูรายการเดินบัญชี ไม่พบการทำธุรกรรมด้านการเงินที่ผิดปกติ จำนวนเงินได้รับโอนไม่สูงมากไปกว่านี้ การโอนเงินจึงอาจเป็นการชำระหนี้ตามกฎหมายก็ได้ ทั้งนี้พยานหลักฐานฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3-4ได้รับเงินโดยรู้แล้วว่านายน้อยได้มาจากการจัดให้มีการเล่นพนันหรือฟอกเงินฯ หลักฐานฟังไม่ได้ว่าร่วมกระทำความผิด
ส่วนจำเลยที่ 5 พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่า ได้รับเงินโอนจากนายน้อย โดยรู้ว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการจัดให้มีการเล่นพนันฯ แต่พยานโจทก์ยืนยันไม่ได้ว่า ทุกรายการที่กล่าวหาให้รับผิดจากการรับโอนเงินในส่วนของจำเลยที่ 5 เองเป็นรายการร่วมกันฟอกเงินทั้งหมด และโจทก์ไม่ได้ฟ้องผู้รับโอนเงินหลายคน
ย่อมเป็นการยากที่จะรู้ถึงเจตนาของผู้โอน จึงเห็นควรให้จำเลยที่ 5 รับผิดเพียงผลของการรับโอนเงินที่กระทำผิดเท่านั้น ส่วนจำเลยที่ 6 รับสารภาพว่า รับโอนเงินจากนายน้อย 7 ครั้ง แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 6 รับทราบว่าเป็นเงินจากการเล่นพนัน จึงเป็นการกระทำความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินตามฟ้องจริง แต่พยานยืนยันไม่ได้ว่าทุกรายการที่กล่าวหาเป็นการฟอกเงิน ทั้งหมดจึงต้องรับผิดเพียงผลการรับโอนเงินที่กระทำความผิดเท่านั้น
พิพากษาว่า จำเลยที่ 5, 6 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ มาตรา 5(1), (2), 60 การกระทำจำเลยที่ 5-6 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จำเลยที่ 5 กระทำความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน 2 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี
จำเลยที่ 6 กระทำความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน 7 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 7 ปี จำเลยที่ 6 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 3 ปี 6 เดือน ให้ยกฟ้องจำเลย 1-4 และที่ 7
มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ศาลอาญาเคยพิพากษายกฟ้องสมชายกับพวก ฐานร่วมกันฟอกเงิน และผิด พ.ร.บ.การพนัน มาแล้ว รวมทั้งยกฟ้องสมชายฐานจ้างวานฆ่า ประทุม สอาดนัก อาชีพมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ที่เป็นคนแจ้งเบาะแสเรื่องบ่อนพนันของสมชาย แต่พยานหลักฐานไม่เพียงพอ