เชื่อว่าคนส่วนใหญ่น่าจะพอทราบกันดีว่าเป้าหมายของ LINE คือการยกระดับพาตัวเองไปให้เป็น Portal Platform หรือแพลตฟอร์มผู้ให้บริการที่อยู่ในทุกภาคส่วนการใช้ชีวิตของผู้คน (คลิกอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่)
นั่นหมายความว่าตั้งแต่ลืมตาตื่นลุกขึ้นจากที่นอนในตอนเช้า ยันทิ้งตัวลงบนที่นอนอีกครั้งในตอนกลางคืน อย่างน้อยที่สุดบริการของ LINE น่าจะเข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนได้ในมิติที่ต่างกันออกไป
เช่น แชตแอปพลิเคชัน > LINE CHAT, ขนส่งคมนาคม บริการส่งอาหาร ส่งของ > LINE MAN (LINE TAXI), ชมคอนเทนต์ย้อนหลัง > LINE TV, หางาน > LINE JOBS และแน่นอน อ่านข่าว > LINE TODAY
หลังเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2559 (2 ปี) ผ่านมาจนถึงวันนี้ แพลตฟอร์มอ่านข่าวออนไลน์ ‘LINE TODAY’ มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว แบ่งเป็นสถิติที่น่าสนใจได้คร่าวๆ ดังนี้
- ปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 32 ล้านคน คิดเป็น 76% ของสัดส่วนผู้ใช้ LINE ในตอนนี้ (ประมาณ 42 ล้านคน) และ 71% ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยทั้งหมด
- กลุ่มผู้อ่านส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัย 25-34 ปีเป็นหลัก
- มีจำนวนการคลิกอ่านมากกว่า 1 พันล้านครั้งต่อเดือน
- ผู้อ่านหนึ่งคนจะมีจำนวนเฉลี่ยการอ่านคอนเทนต์มากกว่า 38 เรื่องต่อเดือน
- ด้านการทำงานกับพาร์ตเนอร์สำนักข่าวอื่นๆ ในประเทศ ปัจจุบัน LINE TODAY มีพันธมิตรมากกว่า 120 ราย
- เนื้อหาบนแพลตฟอร์มทุกวันนี้ในสัดส่วน 95% มาจากการผลิตของฝั่งพาร์ตเนอร์ ส่วนอีก 5% เป็นผลงานการผลิตโดยฝั่งทีมงานของ LINE TODAY เอง
- นำข่าวขึ้นบนแพลตฟอร์มประมาณวันละ 600-700 ข่าว
- 8-10% คือสัดส่วนที่ผู้ใช้จะคลิกกลับเข้าไปอ่านข่าวอื่นๆ บนเว็บไซต์ต้นทางของสำนักข่าวนั้นๆ
- ผลสำรวจระบุว่า 50% ของผู้อ่านให้ความสนใจ AD โฆษณาต่างๆ บนแพลตฟอร์ม
ตัวเลขข้างต้นและสถิติที่ยกมาอ้างอิงนี้กำลังบอกอะไรกับเรา ทำไมต้องเป็น ‘ข่าว’ และทำไมต้องเป็น LINE TODAY
กวิน ตั้งอุทัยศักดิ์ ผู้อำนวยการธุรกิจคอนเทนต์ LINE ประเทศไทยให้เหตุผลถึงจุดเริ่มต้นที่ LINE ลงมาจับตลาดการอ่านข่าวนั้น เนื่องจากในปัจจุบันมีช่องทางอ่านข่าวออนไลน์เป็นจำนวนมาก ทำให้ความสามารถส่งสารและกระจายคอนเทนต์ไปยังผู้อ่านทำได้ยาก
เช่นเดียวกันในมุมผู้บริโภคเองก็รู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถเลือกอ่านข่าวได้ครอบคลุม ไม่สะดวกสบายกับการคลิกเข้าเว็บไซต์ข่าวหลายๆ เว็บ ขณะที่ฝั่งคนทำคอนเทนต์ สำนักข่าว สำนักพิมพ์ ก็จะรู้สึกว่าปัญหาการแข่งขันที่ดุเดือด ค่าใช้จ่ายการจัดส่ง รวมถึงยอดการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ที่ลดน้อยถอยลงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การเติบโตขององค์กรสื่อในยุคดิจิทัลอาจจะทำได้ยาก
ด้วยเหตุนี้ ในฐานะที่แชตแอปพลิเคชันของตนเป็นที่นิยมมากๆ ในหมู่คนไทย จึงเปิดตัว LINE TODAY ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาเบื้องต้นที่กล่าวมาทั้งหมด และเพื่อเป็น ‘ฮับ’ (Hub) ศูนย์กลางสำหรับผู้ผลิตคอนเทนต์และผู้บริโภคคอนเทนต์ในปัจจุบัน เพื่อที่จะได้กระจายคอนเทนต์ต่างๆ ไปยังผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง
กวินบอกว่า “20 ปีที่ผ่านมา เรารู้กันอยู่แล้วว่าสถานการณ์อุตสาหกรรมสื่อในปัจจุบันค่อนข้างวิกฤตพอสมควร พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปทำให้คนทำธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ก็ถูก Disrupted เป็นอย่างมาก เนื่องจากคนมีอินเทอร์เน็ตอยู่ในมือทำให้ใครก็ผลิตคอนเทนต์ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้มีคู่แข่งมากขึ้น ที่สำคัญการกระจายคอนเทนต์ไปถึงมือผู้บริโภค หรือการปรับตัวมาออนไลน์ก็ทำได้ยาก ต้องซื้อโฆษณาเยอะมาก (Boost Post) เพื่อขับเคลื่อน Awareness เช่นเดียวกับยอด Spending สื่อโฆษณาก็เริ่มลดน้อยลง
“ฝั่งผู้อ่านจะพบว่าสื่อข่าวออนไลน์ทุกวันนี้มีคอนเทนต์ให้อ่านมากมายเยอะไปหมด แต่ไม่รู้ว่าเจ้าไหนเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน บางส่วนก็ยังไม่รู้ว่าจะเข้าถึงและอ่านอย่างไร ขณะที่หน้าฟีดบนโซเชียลมีเดียก็มีส่วนช่วยทำให้คนอ่านข่าวน้อยลง เหตุผลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีผลทำให้ LINE ต้องลุกขึ้นมาทำ LINE TODAY เพื่อรวบรวมข่าว คอนเทนต์ที่ ‘น่าเชื่อถือ’ มาอยู่ในแพลตฟอร์มให้คนได้อ่าน”
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ LINE TODAY ประสบความสำเร็จมากๆ ในช่วงระยะเวลาแค่ 2 ปี (ปีที่ผ่านมามี Growth Rate อยู่ที่ประมาณ 20%) โดยไม่ต้องพึ่งการโปรโมตหรืออาศัยการประชาสัมพันธ์ใดๆ เลย นอกเหนือจากการมีฐานที่แข็งแรงอย่าง LINE Application นั้น กวินบอกว่าเป็นเพราะ LINE TODAY ถูกจัดให้อยู่ในปุ่มลำดับที่ 4 บนหน้าอินเทอร์เฟซแอปฯ LINE จึงทำให้ง่ายต่อการใช้งานของผู้บริโภค
“ปัจจัยหลักๆ ที่คนเลือกอ่านข่าวบน LINE TODAY เพราะว่า ข้อมูลข่าวอัปเดตเร็ว เข้าถึงง่าย ใช้ได้สะดวกสบาย ไม่ต้องเข้าเว็บ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยความหลากหลายของรูปแบบเนื้อหาและพาร์ตเนอร์อีกด้วย”
2 ปีผ่านไป กลยุทธ์ต่อไปในวันพรุ่งนี้ LINE TODAY จะเดินไปอย่างไร
ที่ประเทศญี่ปุ่นเองก็มีแพลตฟอร์มอ่านข่าวบน LINE เหมือนกัน แต่ใช้ชื่อที่ต่างออกไปว่า ‘LINE News Digest’ ในขณะที่ 3 ตลาดหลักที่เหลืออย่างไทย อินโดนีเซีย ไต้หวัน จะใช้ชื่อว่า LINE TODAY เหมือนกันหมด และเตรียมเปิดตัวที่ฮ่องกงอีกในเร็วๆ นี้
และก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใดที่กวินและ ชรัตน์ เพ็ชรธงไชย หัวหน้าธุรกิจ LINE TODAY ประเทศไทย จะบอกกับเราว่า ตอนนี้ LINE TODAY เวอร์ชันไทยมียอดผู้ใช้งานสูงเป็นลำดับที่ 2 เป็นรองเพียงแค่ญี่ปุ่นประเทศเดียวเท่านั้น!
ชรัตน์บอกว่า วัตถุประสงค์หลักของ LINE TODAY คือการเป็นศูนย์กลางการช่วยให้อ่านคอนเทนต์ได้ง่ายๆ จากแหล่งข่าวต้นทาง (สำนักข่าวและพาร์ตเนอร์ผู้ผลิตคอนเทนต์) ที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ
“เราไม่สามารถผลิตคอนเทนต์ได้เอง 100% จึงต้องอาศัยการร่วมงานจากพาร์ตเนอร์เพื่อให้ส่งต่อคอนเทนต์ไปยังคนอ่านได้มากที่สุด แบ่งเป็นสัดส่วนคอนเทนต์จากพาร์ตเนอร์ 95% และอีก 5% เป็นคอนเทนต์จาก LINE TODAY ที่ทั้งผลิตเองและร่วมกันผลิตกับพาร์ตเนอร์ (Co-creation)”
ในจำนวน 5% นี้เองที่ LINE TODAY ประกาศว่าปีนี้จะมีรายการข่าวและคอนเทนต์รายการใหม่ๆ ที่น่าสนใจออนแอร์อีกมาก ตัวอย่างเช่น
- HEADLINE TODAY รายการเล่าข่าวในบรรยากาศที่เป็นกันเอง นำโดย จั๊ด-ธีมะ กาญจนไพริน
- ทอมก้องร้องทุกข์ รายการที่ครูทอม-จักรกฤต โยมพยอม จะพาไปลงพื้นที่สำรวจปัญหาชีวิตคนเมืองในมุมต่างๆ
- อาม่า แอนด์ เดอะแก๊ง รายการที่มีผู้ดำเนินรายการเป็นอาม่า พาไปสำรวจไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจ
- ข่าวเด็ดเด็กตอบ รายการที่ชวนไปดูคำตอบและความคิดเห็นของเด็กๆ ที่มีต่อประเด็นร้อนแรงในสังคม
- เลือกได้เลือกดี เมื่อ จ๋า-ณัฐฐาวีรนุช ทองมี จะพาไปเลือกเคล็ดลับการใช้ชีวิตในแบบของเธอ
ถึงอย่างนั้นก็ดี กวินก็บอกอย่างตรงไปตรงมาว่าแม้จะประสบความสำเร็จในเชิงตัวเลขยอดผู้ใช้และระยะเวลาการอ่าน แต่ปัจจุบัน LINE TODAY ยังไม่คืนทุนแต่อย่างใด ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำคัญหรืออุปสรรค เพราะตอนนี้สิ่งที่ตนและทีมงานกำลังโฟกัสคือการสร้างฐานผู้ใช้ให้ได้มากที่สุดเป็นหลักก่อน
“เป้าหมายหลักตอนนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการคืนทุนหรือไม่คืนทุน แต่อยู่ที่การเพิ่มสเกลผู้ใช้งาน ยอดเพจ และยอดขายโฆษณามากกว่า หน้าที่สำคัญของเราในตอนนี้คือการเพิ่มเอ็นเกจเมนต์ และช่วยเพิ่มช่องทางรายได้ให้ผู้ผลิตสื่ออีกช่องทาง
“เราอยากช่วยกระจายช่องทางการอ่านคอนเทนต์ให้มาอยู่ในโลกออนไลน์มากขึ้น ตอนนี้ผู้ผลิตสื่อหลายเจ้ามีความพยายามจะผลักตัวเองให้มีรายได้ทางฝั่งออนไลน์เพิ่มขึ้นเท่ากับฝั่งออฟไลน์ เราเชื่อว่าตัวเองเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ในฝั่งออนไลน์”
ทีมผู้บริหาร LINE TODAY มองว่าเป้าหมายในระยะสั้นคือการเพิ่มยอดผู้ใช้ให้สูงขึ้นอีก 10 ล้านราย หรือเทียบเท่า LINE นั่นเอง แต่ยอมรับว่าการลดช่องว่างดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่ง่ายแน่นอน เพราะผู้บริโภคบางส่วนอาจจะยังมีพฤติกรรมไม่คุ้นเคยกับบริการอื่นๆ จาก LINE จึงทำให้ปีนี้ Growth Rate ของจำนวนผู้ใช้อาจจะอยู่ที่เลขหลักเดียวปลายๆ เท่านั้น
อีกหนึ่งจุดแข็งของ LINE TODAY ที่ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้อ่าน ตลอดจนฝั่งแบรนด์ เอเจนซีที่เริ่มตบเท้ามาลงโฆษณามากขึ้นนั้น เป็นเพราะทีมงานให้ความสำคัญกับการเลือกคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือมาลงบนแพลตฟอร์ม เพื่อแก้ปัญหาข่าวปลอม หรือ Fake News ที่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน ส่งผลให้ภาพลักษณ์ส่วนหนึ่งของ LINE TODAY กลายเป็นแพลตฟอร์มที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือมากขึ้นไปด้วย
โดยกวินและชรัตน์ให้ข้อมูลว่า ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีความเป็นไปได้ในการนำปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งถูกพัฒนาโดยบริษัทแม่ NAVER มาใช้ประโยชน์คัดกรองและเลือกเผยแพร่ข่าวต่างๆ แต่คงยังไม่ใช่เร็วๆ นี้เนื่องจากความสามารถของ AI ในปัจจุบันอาจจะยังไม่เข้าใจภาษาไทยได้เต็ม 100% หรือยังมีช่องโหว่ในการสแกนข่าวปลอมอยู่บ้าง
เมื่อถามถึงโอกาสที่ LINE TODAY จะจริงจังกับการทำคอนเทนต์ของตัวเองในอนาคต และเพิ่มสัดส่วนจาก 5% ให้เพิ่มขึ้นได้ไหมนั้น กวินไม่ปฏิเสธถึงโอกาส แต่ก็ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของแพลตฟอร์ม
“5% ตรงนี้ยังถือเป็นสัดส่วนที่เราอยากจะลองเรียนรู้ถูก-ผิดดูก่อน เราไม่รู้ว่าสัดส่วนนี้จะโตขึ้นมากน้อยขนาดไหน มันขึ้นอยู่กับว่าเราประสบความสำเร็จแค่ไหนด้วย แต่มันก็เป็นช่องว่างที่เราเห็นในตลาดอยู่ว่าน่าสนใจที่จะลงมาทำ เพราะตอนที่เราไปทำรีเสิร์ชก็พบว่า เด็กยุคใหม่ในปัจจุบันส่วนใหญ่ไม่ค่อยอ่านข่าว แต่เล่นโซเชียลอยู่ตลอดเวลา เราเลยมองว่า LINE TODAY น่าจะทำข่าวในรูปแบบใหม่ที่มีความหลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น” กวินกล่าวทิ้งท้าย
นอกเหนือจากเรื่องการลงทุนกับแพลตฟอร์มผลิตคอนเทนต์ข่าวที่น่าสนใจใหม่ๆ นั้น LINE TODAY ยังบอกอีกด้วยว่า ในอนาคตพวกเขาจะพยายามดีลพาร์ตเนอร์สื่อเข้ามาร่วมงานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้คอนเทนต์บนแพลตฟอร์มครอบคลุมเนื้อหาทุกประเภท
ต้องยอมรับว่าแนวคิดของ LINE TODAY ในการทำแพลตฟอร์มรวมบทความข่าวและคอนเทนต์มาไว้ในที่เดียวคือโมเดลที่น่าสนใจและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่าก่อนหน้านี้โซเชียลมีเดียอย่าง Facebook เองก็เคยได้รับคำชื่นชมในกรณีที่คล้ายคลึงกัน (ช่วยเป็นแพลตฟอร์มให้สื่อกระจายคอนเทนต์)
ขณะที่ปัจจุบันเฟซบุ๊กกลับถูกวิพากษ์วิจารณ์จากการเปลี่ยนนโยบายต่างๆ เช่นการปรับลดอัลกอริทึมการแสดงผลบนหน้านิวส์ฟีด ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจสื่อ แบรนด์ต่างๆ เอามือก่ายหน้าผาก หนีตายพร้อมปรับตัวกันยกใหญ่อีกครั้ง
นี่จึงเป็นเรื่องน่าคิดว่าวันใดวันหนึ่งข้างหน้า หาก LINE TODAY ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากขึ้นมา พวกเขาจะผูกขาดตลาดคอนเทนต์ข่าวหรือไม่? จะปรับเปลี่ยนนโยบายที่สร้างผลกระทบอุตสาหกรรมสื่อหรือเปล่า? และเป็นไปได้ไหมที่ LINE จะลงทุนทำสำนักข่าวของตัวเองอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต?
- ในช่วงเริ่มต้น LINE TODAY มีหมวดข่าวให้อ่านแค่ 4 หมวดเท่านั้น คือ ข่าว (ทั่วไป), บันเทิง, ไลฟ์สไตล์, ธุรกิจ แต่ปัจจุบันมีการเปิดหมวดข่าวย่อยรวมมากกว่า 10 ประเภทแล้ว (ทีวี, ดูดวง, วิดีโอ, กีฬา, สุขภาพ, แฟชั่น-บิวตี้, ไอที-เทค)
- ประเภทคอนเทนต์ที่มีคนอ่านมากที่สุดบน LINE TODAY ในปัจจุบัน เรียงตามลำดับความนิยมคือ ข่าว (ทั่วไป), การเมือง, โซเชียล, บันเทิง, ดูดวง, กีฬา และไลฟ์สไตล์
- เกณฑ์ในการเลือกข่าว ทีมงาน LINE TODAY จะเป็นคนเลือกข่าวที่พาร์ตเนอร์กว่า 120 รายส่งฟีดมาให้ โดยจะเลือกจากข่าวที่มีความสมบูรณ์ในด้านเนื้อหาและมีคุณภาพ ความเร็วหรือช้าในการนำเสนอไม่มีผล และจะพยายามเกลี่ยให้พาร์ตเนอร์ทุกรายได้พื้นที่ข่าวเท่าๆ กัน
- ช่วงเวลาท่ี่คนอ่าน LINE TODAY มากที่สุดคือช่วงเวลาคนเลิกงาน หรือเย็นๆ ค่ำๆ เป็นต้นไป
- ประเภทโฆษณาบน LINE TODAY แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ Native Ads (Google AdSense) แบนเนอร์โฆษณา และบทความ Advertorial