‘Blue Planet’ หรือโลกของเรามีน้ำอยู่ถึง 2 ใน 3 ร่างกายของคนเราก็มีน้ำเป็นองค์ประกอบถึง 2 ใน 3 เช่นเดียวกัน ถ้าลองเอาตับ ไต ดวงตา หัวใจ สมอง และอวัยวะอื่นๆ ของคนเรามาตรวจดูจะพบว่า ทุกส่วนล้วนมีน้ำเป็นองค์ประกอบหลัก ดังนั้นถ้าจะกล่าวว่าน้ำคือส่วนหนึ่งของสรรพชีวิต น้ำคือส่วนหนึ่งของสังคมมนุษย์ ก็คงจะไม่ผิดนัก

     เมื่อน้ำมีความสำคัญมากถึงขนาดนี้ คุณภาพของน้ำย่อมส่งผลถึงคุณภาพของชีวิตโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ น้ำดื่มที่สะอาดช่วยให้คนเรามีสุขภาพที่ดี การดื่มน้ำบ่อยๆ ในแต่ละช่วงวันสามารถช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับร่างกาย รวมถึงทำให้การทำงานของระบบต่างๆ ของคนเราเป็นไปอย่างราบรื่น

     เมื่อพูดถึงน้ำ คุณคงเคยเห็นหรือได้ยินเรื่องการใช้น้ำมนต์ในการรักษาโรคมาบ้าง คนไข้บางรายหายป่วยได้อย่างน่าอัศจรรย์ สร้างความประหลาดใจให้กับวิทยาศาสตร์และการแพทย์แผนปัจจุบันมานักต่อนัก บางทีผลงานวิจัยของ ดร. มาซารุ อิโมโตะ (Dr. Masaru Emoto) อาจเป็นคำตอบของเรื่องนี้ก็เป็นได้

     ดร. มาซารุเป็นชาวโยโกฮามา เขาสนใจเรื่องผลึกน้ำและความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก ดร. มาซารุเดินทางไปเก็บตัวอย่างน้ำจากสถานที่ต่างๆ ทั่วญี่ปุ่นและเมืองใหญ่ๆ ของโลก แล้วนำตัวอย่างน้ำเหล่านั้นมาทำให้แข็งตัวแล้วเอาผลึกของมันมาตรวจสอบ ดร. มาซารุพบความน่าอัศจรรย์ใจว่าสิ่งแวดล้อมมีผลต่อการก่อตัวของผลึกน้ำเป็นอย่างมาก โดยน้ำในสิ่งแวดล้อมบริสุทธิ์มีผลึกสวยงามเรียงตัวเป็นระเบียบ ในขณะที่น้ำจากเมืองใหญ่ที่มีมลภาวะจะมีหน้าตาของผลึกที่น่าเกลียดน่ากลัว

     เมื่อ ดร. มาซารุทดลองนำน้ำมาวางไว้ในห้อง เปิดเพลงร็อกให้ฟัง ผลึกน้ำแตกกระจาย รูปร่างน่าเกลียดเหมือนอสุรกาย ขณะที่น้ำซึ่งอยู่ในห้องที่เปิดเพลงคลาสสิก ผลึกของมันจะมีหน้าตาดูดี เมื่อทดลองนำเอาน้ำที่ผลึกแตกกระจายมาตั้งไว้ในวัด ให้ได้ยินเสียงสวดมนต์อย่างต่อเนื่อง ผลึกของน้ำก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปจนมีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ลองตักเอาน้ำมนต์ในวัดมาส่องดูผลึกก็พบว่าโมเลกุลของมันเรียงตัวกันอย่างมีระเบียบ

     ดร. มาซารุทำการทดลองพวกนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นเวลาหลายปี และสรุปงานวิจัยของเขาออกมาเป็นหนังสือชื่อ The Message from Water ในปี ค.ศ. 2000 (มีแปลเป็นภาษาไทยแล้ว) หนังสือเล่มนี้สร้างความฮือฮาให้กับผู้ที่ได้อ่านเป็นอย่างมาก เพราะนี่อาจจะเป็นการพิสูจน์เชิงประจักษ์ว่า ทำไมเวลาเราดื่มน้ำมนต์แล้วจึงรู้สึกเย็นซ่านไปทั้งตัว ทำไมน้ำมนต์จึงใช้ในการรักษาโรคบางโรคได้ หรือแม้แต่การสวดมนต์ภาวนาทำให้เรารู้สึกสุขสงบ และส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย

     แต่อย่างไรก็ตาม มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากดาหน้ากันออกมาคัดค้านงานวิจัยของ ดร. มาซารุว่า ไม่น่าเชื่อถือ กระบวนการไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่การทดลองไม่ได้ทำการควบคุมอย่างเป็นระบบระเบียบ บ้างก็ว่าข้อมูลยังน้อยเกินกว่าจะสรุปออกมาเป็นทฤษฎี มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนท้าทายให้เขาทำการทดลองใหม่ ภายใต้การควบคุมที่ได้มาตรฐาน ไม่ว่าใครจะว่ายังไง ถึงตอนนี้  ดร. มาซารุก็ดังไปเรียบร้อยแล้ว มีคนเห็นด้วยและสนับสนุนทฤษฎีผลึกน้ำของ ดร. มาซารุไม่น้อย และเขาก็ยังเดินหน้าทำการทดลองนี้ต่อไป รวมถึงเดินสายบรรยายเรื่องผลึกน้ำไปทั่วโลก

     บทความนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะบอกว่า ทฤษฎีของ ดร.มาซารุถูกหรือผิด ไม่ได้สรุปว่าการดื่มน้ำมนต์ทำให้หายป่วยได้จริงหรือไม่ แต่ต้องการแชร์ประสบการณ์ว่าในเชิงของ wellness แล้ว สุขภาพกาย (Physical Health) สุขภาพใจ (Mental Health) และสุขภาพจิตวิญญาณ (Spiritual Health) เป็นสามส่วนที่เกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่น ไม่สามารถแยกออกจากกันได้

     ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจมากคือ มีผู้ป่วยบางรายป่วยเป็นอัมพาตลุกเดินจากเตียงไม่ได้ หลังจากรักษาจนหายดีแล้วแต่ก็ยังเดินไม่ได้ ครั้นพอญาติๆ ขออนุญาตหมอแผนปัจจุบัน เพื่อเชิญผีฟ้า-หมอพื้นบ้านมาทำการรักษาด้วยการร่ายรำ คนไข้กลับลุกขึ้นจากเตียง เดินได้ปร๋อ สร้างความตื่นตะลึงให้กับหมอแผนปัจจุบันมาแล้วก็เคยมีปรากฏ (อ้างอิงจากหนังสือ วิถีชุมชน ของ นพ. โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ จัดพิมพ์โดยสำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ)

     เมื่อร่างกายป่วย ก็จะส่งผลถึงจิตใจและจิตวิญญาณ ทำนองกลับกัน หากจิตใจป่วย สุขภาพกายก็พลอยกระทบกระเทือนไปด้วย ดังนั้นเมื่อร่างกายเกิดป่วยไข้ การแพทย์ทางเลือก การสวดมนต์ นั่งสมาธิ เล่นโยคะ ฟังเพลงคลาสสิก อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวย

     ดังนั้นการทำจิตใจให้สงบเหล่านี้ ย่อมช่วยให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นไปด้วยอย่างแน่นอน

ภาพประกอบ: narissara k.