คงไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงสักเท่าไร หากกล่าวว่าคนในยุคสมัยนี้เดินเข้าศูนย์การค้าบ่อยกว่าพิพิธภัณฑ์ ฉะนั้นเพื่อทำให้การออกมาใช้ชีวิตของทุกคนน่าสนุกเพลิดเพลิน และได้แรงบันดาลใจใหม่ๆ กลับไปด้วย สยามพารากอน จึงทำการปรับปรุงพื้นที่ใหม่ตั้งแต่ต้นปี 2567 เพื่อสร้างประสบการณ์ Luxury for All ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ในรูปแบบของตัวเอง โดยหนึ่งในนั้นคือการสร้างพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะ Arena of Arts ที่ใช้พื้นที่อาคารกว่า 100,000 ตารางเมตร ตั้งแต่ชั้น G ถึงชั้น 4
ซึ่งความตั้งใจนี้เริ่มต้นมาจากความเป็น Global Destination ของ ONESIAM อันได้แก่ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ ที่มีความมุ่งมั่นสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกตื่นตาตื่นใจ (Be Amazed) ได้รับแรงบันดาลใจ (Be Inspired) และเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติวงการ (Be Revolutionary) มาตลอดทุกยุคสมัย รวมถึงเป็นสถานที่แรกที่นำแนวคิดของการเปิดพื้นที่ให้ประสบการณ์ด้านศิลปะเข้ามาเติมเต็มไลฟ์สไตล์ ด้วยการผสมผสานเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันและเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยเริ่มต้นจากสยามเซ็นเตอร์ที่คัดสรรผลงานศิลปะจากศิลปินไทยให้เป็นสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ของ ‘ไทยสร้างสรรค์’ (Creative Thais) และในสยามดิสคัฟเวอรี่ที่มีการทำ Art Collaboration ร่วมกับศิลปินและนักออกแบบระดับโลกมากมาย
สำหรับสยามพารากอน การปรับโฉมใหม่ในครั้งนี้ถือเป็นการเตรียมฉลองครบรอบ 20 ปีสู่การเป็น Grand Stage of The World ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ต่างๆ ที่เหนือความคาดหมาย และเป็นการสร้างคำนิยามใหม่ให้กับไลฟ์สไตล์ของคนทุกระดับเพื่อนำเสนอคำว่า Luxury for All อย่างแท้จริง โดยหนึ่งในประสบการณ์นั้นก็คือการเข้าถึงงานศิลปะที่สยามพารากอนให้ความสำคัญมาตลอด 20 ปี
สาลวิท สุวิพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานสร้างสรรค์และนวัตกรรม บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวถึงการสร้างประสบการณ์ใหม่ในครั้งนี้ว่า “สิ่งที่เรากำลังทำคือการออกแบบพื้นที่ด้วยคอนเซปต์ Luxury for All ถือเป็นนิยามใหม่ของการใช้ไลฟ์สไตล์ เพราะสยามพารากอนเชื่อว่าทุกคนมีความ Luxury ในแบบของตัวเอง และงานศิลปะจะเป็นสิ่งที่เข้ามาเชื่อมทั้งหมดเข้าด้วยกัน”
Siam Paragon’s Arena of Arts จึงเป็นการเปิดพื้นที่ทั้งอาคารให้กลายเป็นเวทีจัดแสดงงานศิลปะ ซึ่งมีความแตกต่างจากที่อื่นๆ เนื่องจากสยามพารากอนทำงานร่วมกับศิลปินในการออกแบบชิ้นงานเพื่อนำมาจัดแสดงในรูปแบบ Public Arts ที่สร้างขึ้นมาเพื่อสถานที่แห่งนี้โดยเฉพาะ โดยตอนนี้มีผลงานร่วมสมัยทั้งหมด 10 ชิ้นที่ทุกคนสามารถชมได้แล้ว เช่น Aurora โดยศิลปิน Visual Artist ระดับโลกชาวฝรั่งเศส ปาสคาล ดอมบีส์ (Pascal Dombis) ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแสงเหนือ หรืองานประติมากรรม Red Bubble โดยศิลปินเกาหลีร่วมสมัย โอดงฮุน (Donghoon Oh) เป็นผลงานศิลปะเชิงรูปทรงของทรงกลมที่ดูคล้ายมนุษย์ โดยศิลปินได้แรงบันดาลใจมาจากการเล่นฟองสบู่
“สิ่งที่ทำให้สยามพารากอนแตกต่างคือการรวมศิลปะเข้ากับการออกแบบสถาปัตยกรรม งานศิลปะทุกชิ้นที่จะนำมาจัดแสดงได้รับการออกแบบให้เข้ากับพื้นที่นั้นๆ หรือเป็นชิ้นงานแบบ Site Specific ที่สยามพารากอนสร้างสรรค์ร่วมกับศิลปิน ทำให้ทุกคนที่เดินผ่านเกิดความรู้สึกร่วม (Emotional Engagement) อย่างไม่รู้ตัว”
สาลวิทกล่าวเสริม
โดยชิ้นงานเอ็กซ์คลูซีฟล่าสุดซึ่งถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่ Siam Paragon’s Arena of Arts ร่วมมือกับศิลปินในการออกแบบก็คืองานประติมากรรม THE FUTURE IN OUR HAND โดยศิลปินระดับโลกชาวสเปน ไฮเม่ ฮายอน (Jaime Hayon) ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 100 ดีไซเนอร์ยอดเยี่ยมโดยนิตยสาร Wallpaper* และได้รับการยอมรับว่าเป็นนักออกแบบที่มีอิทธิพลที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา อีกทั้งได้รับการยกย่องจากนิตยสาร TIME ว่าเป็นผู้มีวิสัยทัศน์และเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งความคิดสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของการออกแบบด้วย
“สยามพารากอนให้ความสำคัญกับการคัดเลือกศิลปินชั้นนำจากหลายประเทศ และเลือกชิ้นงานที่มีการสะท้อนเรื่องราวและความเป็นเอกลักษณ์ของสยามพารากอนอย่างลึกซึ้ง รวมถึงการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นพิเศษร่วมกับศิลปินเพื่อออกแบบชิ้นงานที่มีเพียงที่สยามพารากอนเท่านั้นด้วย” สาลวิทกล่าว
นอกจากนี้ ไฮเม่ ฮายอน ศิลปินเจ้าของผลงาน THE FUTURE IN OUR HAND ซึ่งเป็นงานประติมากรรมรูปลิงกำลังถือลูกบอลสีทอง ยังมาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับไอเดียเบื้องหลังการร่วมงานกับสยามพารากอนในการออกแบบชิ้นงานพิเศษในครั้งนี้ด้วย
“ผมทำงานร่วมกับแบรนด์ต่างๆ ทั่วโลกมานานกว่า 25 ปี ตั้งแต่แบรนด์แฟชั่นหรูไปจนถึงผลงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์ สิ่งหนึ่งที่ผมตั้งใจทำเสมอคือการสร้างสรรค์ผลงานให้เข้ากับสถานที่นั้นๆ และงานประติมากรรม THE FUTURE IN OUR HAND ก็เช่นเดียวกัน ผมเริ่มจากการสำรวจพื้นที่จัดแสดงชิ้นงานกับทีมสยามพารากอน ก่อนคิดธีมที่มีความสนุกสนาน แฝงด้วยความหมายลึกซึ้ง และต้องทำให้ผู้ชมสะท้อนความคิดบางอย่างกลับไปด้วย
“ผมจึงเกิดไอเดียสร้างสรรค์งานประติมากรรมรูปลิงกำลังถือลูกบอลสีทอง ซึ่งมันกำลังมองเงาสะท้อนตัวเองผ่านลูกบอลนั้น แต่ในขณะเดียวกันมันก็อาจกำลังมองไปรอบๆ ตัวเองด้วย ผมคิดว่างานชิ้นนี้อาจทำให้คนที่เห็นผลงานหันกลับมามองตัวเองผ่านเงาสะท้อนบนลูกบอลนั้นเช่นกัน” ไฮเม่เล่าถึงไอเดียในการสร้างผลงานชิ้นนี้
โดยประติมากรรมชิ้นสำคัญ THE FUTURE IN OUR HAND ซึ่งจัดแสดงอยู่บริเวณชั้น 1 สยามพารากอน เป็นผลงานชิ้นเอกที่สะท้อนแนวคิดเชิงบวกต่อโลก เพราะศิลปินเชื่อว่าทุกคนสามารถสร้างพลังแห่งความหวังและความฝันอันงดงามเพื่ออนาคตที่ดีขึ้นได้ เขาจึงเลือกใช้ลิงเป็นตัวแทนในการสื่อถึงความร่าเริง ถ่อมตน และเป็นธรรมชาติ โดยลิงตัวนั้นกำลังยืนในท่าทางคล้ายมนุษย์และถือลูกบอลสีทอง (The Reflective Sphere) ที่ส่องเงาสะท้อนตัวมันเอง เปรียบเสมือนการได้สำรวจตัวเองรวมถึงผู้คนรอบข้าง
ไฮเม่เล่าอีกว่าเขาตั้งใจออกแบบงานชิ้นนี้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ชมตั้งคำถามกับตัวเอง พร้อมเปิดมุมมองใหม่ต่อความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสิ่งแวดล้อมด้วย
“การสร้างงานศิลปะในมุมมองของผม ชิ้นงานนั้นต้องไม่ตะโกนจนเกินไป ทว่าทุกคนต้องรับรู้การมีอยู่ของมัน อย่างเช่นงานชิ้นนี้ผมใช้ผงหินที่มักใช้ในการสร้างชิ้นงานบ่อยๆ เพื่อสร้างเนื้อสัมผัสที่พิเศษ ถ้าหากลองดูใกล้ๆ คุณจะเห็นรายละเอียดที่ซ่อนอยู่ เช่นเดียวกับเงาสะท้อนซึ่งแสดงถึงความ Luxury ผมคิดถึงการใช้สีอยู่นานเหมือนกัน เพราะต้องการให้ชิ้นงานกลมกลืนไปกับสถานที่ ผมกับสยามพารากอนจึงทำงานร่วมกันเยอะมากในการออกแบบผลงาน THE FUTURE IN OUR HAND” ไฮเม่กล่าว
ร่วมสัมผัสประสบการณ์ผ่านสุดยอดผลงานศิลปะภายใต้คอนเซปต์ THE FUTURE IN OUR HAND ที่สยามพารากอน Co-create ร่วมกับศิลปินนักออกแบบชื่อดังระดับโลก ไฮเม่ ฮายอน พร้อมด้วยผลงานศิลปะร่วมสมัยจากเหล่าศิลปินไทยและหลากหลายประเทศได้ทั่วพื้นที่สยามพารากอน และรอติดตามผลงานสร้างสรรค์จากศิลปินแห่งชาติและศิลปินระดับโลกที่จะมาเพิ่มเติมให้ครบ 20 ชิ้น ณ Siam Paragon’s Arena of Arts ภายในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อเฉลิมฉลองสยามพารากอนครบรอบ 20 ปี